คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5873/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การเรียกค่าขึ้นศาลต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกันได้ ในกรณีที่คำฟ้องมีหลายข้อหา ย่อมสามารถคิดค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไปได้ โดยต้องพิจารณาถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ในคำฟ้องนั้นเป็นแต่ละข้อหาไป โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินที่ให้โจทก์ชำระภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นภาษีคนละประเภทและแต่ละประเภทมีจำนวนเงินแยกต่างหากออกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามฟ้องและจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลตามฟ้องอุทธรณ์ทุกข้อหาแยกต่างหากจากกัน
การโอนหุ้นจะใช้ยันบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนชื่อและสำนักของผู้รับโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสาม เมื่อโจทก์รับว่าการโอนหุ้นให้แก่ ม. มิได้จดแจ้งการโอนต่อนายทะเบียนผู้ถือหุ้นของ ป. ในทะเบียนผู้ถือหุ้นจึงยังคงปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นอยู่โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุว่ามีการโอนหุ้นไปแล้วยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ โจทก์ต้องนำเงินปันผลจากหุ้นของ ป. มาคำนวณรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากบริษัทสินพรชัย จำกัด เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารสำนักงานของโจทก์ และขายคืนให้แก่บริษัทสินพรชัย จำกัด เพราะบริษัทสินพรชัย จำกัด ไม่สามารถโอนที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 1051ซึ่งเป็นส่วนที่คั่นระหว่างที่ดินแปลงอื่นให้แก่โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีเจตนาขายที่ดินเป็นทางการค้าหรือหากำไรจึงไม่เข้าลักษณะการค้าที่ดินและไม่ต้องเสียภาษีการค้า โจทก์ขายที่ดินในราคา 28,200,000 บาท และเจ้าพนักงานที่ดินผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานประเมินใช้วิธีประเมินราคาที่ดินที่ไม่ถูกต้องและเป็นการประเมินเกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันจดทะเบียนซื้อขาย จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับเงินปันผล โจทก์ได้ขายหุ้นไปแล้วแต่ผู้ซื้อไม่ได้ไปจดแจ้งเปลี่ยนแปลงทะเบียน โจทก์จึงได้รับเงินปันผลสำหรับหุ้นจำนวนดังกล่าวในนามของโจทก์ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้โจทก์ไม่ต้องเสียเงินได้นิติบุคคลภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมจำนวน 118,927,173.86 บาท

จำเลยให้การว่า ข้ออ้างของโจทก์เกี่ยวกับการซื้อและขายที่ดินจำนวน67 โฉนด ตามฟ้องไม่เป็นจริง โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของหุ้นในทะเบียนผู้ถือหุ้นและเป็นผู้ได้รับเงินปันผลจากบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด ข้ออ้างของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย โจทก์จ่ายเงินเดือนและโบนัสให้แก่พนักงาน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้แก้ไขการประเมินภาษีการค้าและแก้ไขการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นตามข้อหาทุกข้อชอบหรือไม่ และที่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มขึ้นเป็นรายข้อหานั้น ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปพร้อมกับอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้ด้วยเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและตารางหนึ่งท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หาได้มีบทบังคับว่าในคำฟ้องฉบับเดียวกันนั้นต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200,000 บาทเท่านั้นไม่แม้ว่ามีข้อหาหลายข้อหาด้วยกัน ดังนั้น ในการพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) บัญญัติว่า คำฟ้องหมายความว่ากระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ดังนี้ การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหาแต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกันได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 29 ที่โจทก์อ้างก็แสดงให้เห็นเพียงว่าในการที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลในคำฟ้องฉบับหนึ่งนั้นอาจมีข้อหาหลายข้อหาด้วยกันและให้อำนาจแก่ศาลในการสั่งแยกคดีได้ ในกรณีที่ศาลเห็นว่าข้อหาใดข้อหาหนึ่งเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับข้อหาอื่น ๆ หรือแม้ข้อหาเหล่านั้นเกี่ยวพันกันแต่ศาลเห็นว่าหากแยกพิจารณาข้อหาทั้งหมดหรือข้อหาใดข้อหาหนึ่งออกจากกันจะเป็นการสะดวก ศาลก็มีอำนาจสั่งแยกข้อหาเหล่านั้นทั้งหมดหรือแต่ข้อหาใดข้อหาหนึ่งออกพิจารณาต่างหากเป็นเรื่อง ๆ ไปได้เท่านั้นมิได้บังคับว่าที่ศาลสั่งแยกข้อหาแล้วจะเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มไม่ได้ และตามมาตรา 150 วรรคสี่ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าในคำฟ้องใดหรือฉบับเดียวกันในกรณีมีหลายข้อหา ย่อมสามารถคิดค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไปได้ซึ่งต้องพิจารณาถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ในคำฟ้องนั้นเป็นแต่ละข้อหาไปตามมาตรา 172วรรคสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินที่ให้โจทก์ชำระภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้โจทก์ชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งเป็นภาษีคนละประเภทและแต่ละประเภทมีจำนวนเงินแยกต่างหากออกจากกันได้จึงเป็นคำฟ้องและฟ้องอุทธรณ์หลายข้อหาซึ่งแต่ละข้อหาสามารถคิดคำนวณจำนวนเงินที่ขอให้เพิกถอนการประเมินแยกต่างหากออกจากกันได้ การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีและจำเลยอุทธรณ์ขอให้โจทก์ชำระภาษีดังกล่าวรวมกันมาจำนวนเดียวและเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุดครั้งเดียว โดยมิได้แยกทุนทรัพย์แต่ละข้อหาเป็นการหลีกเลี่ยงค่าขึ้นศาล กรณีโจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามฟ้องและจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลตามฟ้อง อุทธรณ์ทุกข้อหาแยกต่างหากจากกันคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่สั่งให้โจทก์และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มจึงชอบแล้ว

ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ต่อไปมีว่า เงินปันผลจากหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด จำนวน 1,330,000 บาท เป็นรายได้ของโจทก์หรือไม่ โจทก์อ้างว่าได้ขายหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เมืองทองทรัสต์ จำกัด แต่ไม่ได้ไปจดแจ้งการโอนต่อนายทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด บริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด จึงจ่ายเงินปันผลให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ก็ได้คืนเงินปันผลจำนวนดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เมืองทองทรัสต์ จำกัดแล้วเห็นว่า การโอนหุ้นจะใช้ยันบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129วรรคสาม เมื่อโจทก์เองก็ยอมรับว่าการขายหุ้นดังกล่าวมิได้จดแจ้งการโอนต่อนายทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด ในทะเบียนผู้ถือหุ้นจึงยังคงปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุว่าได้มีการโอนหุ้นไปแล้วเพื่อใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ ดังนั้นโจทก์จึงต้องนำเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัดมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”

พิพากษายืน

Share