คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5864/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อปี พ.ศ. 2527 โจทก์ถูกลงโทษด้วยการลดขั้นเงินเดือน1 ขั้น และถูกตักเตือนเป็นหนังสือ ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษา พ.ศ. 2530 เฉพาะการถูกลดขั้นเงินเดือนซึ่งเป็นโทษทางวินัยที่ได้รับไปแล้วเท่านั้นส่วนการตักเตือนเป็นหนังสือซึ่งตามข้อบังคับของจำเลยมิได้ถือเป็นโทษ จึงไม่ได้รับการล้างมลทิน ต้องถือว่าการที่โจทก์เคยถูกตักเตือนเป็นหนังสือยังมีอยู่ การที่โจทก์มา กระทำผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยอีกในปี พ.ศ. 2529 แต่ไม่ได้รับการล้างมลทินเพราะยังไม่ถูกลงโทษ เมื่อจำเลยพบการกระทำผิดหลังจากที่พระราชบัญญัติ ดังกล่าวใช้บังคับแล้วก็นำเหตุดังกล่าวมาลงโทษให้โจทก์ออกจากงานตามข้อบังคับของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่า โจทก์ปล่อยปละละเลยขาดความเอาใจใส่ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้จำเลยเสียหายและโจทก์เคยกระทำผิดเช่นนี้จนถูกลงโทษทางวินัยและเตือนเป็นหนังสือซึ่งไม่เป็นความจริง ทั้งโทษทางวินัยที่โจทก์เคยได้รับเป็นอันยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ แล้วขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิม และให้จำเลยจ่ายค่าจ้างหรือค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันเลิกจ้าง จำเลยให้การว่า เหตุที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงาน เพราะจำเลยตรวจพบว่าในการจัดทำเอกสารเพื่อเบิกจ่ายเงินผลประโยชน์ให้แก่พนักงานซึ่งโจทก์เป็นผู้จัดการสายได้มีการสมคบกันแก้ไขเปลี่ยนแปลงบันทึกการทำงานเพื่อเบียดบังเอาผลประโยชน์ และเหตุดังกล่าวเกิดจากการปล่อยปละละเลยขาดความเอาใจใส่ในการควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับซึ่งโจทก์เคยถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนและตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลย และโจทก์ถูกตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว ก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ. 2530 ออกใช้บังคับ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งอัตราค่าจ้างและสภาพการจ้างที่ไม่ต่ำกว่าเดิมโดยนับอายุทำงานต่อ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2531 ของศาลแรงงานกลางว่า โจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่ และฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยมาแล้ว เมื่อปี 2527โดยโจทก์ถูกลงโทษด้วยการลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น และถูกตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้ว ตามคำสั่งของจำเลยที่ 58/2527 ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.5 ส่วนเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยการให้ออกจากพนักงานของจำเลยตามฟ้องนั้น ปรากฏตามคำสั่งที่ 57/2531 เอกสารหมาย ล.9ว่า เป็นกรณีที่โจทก์กระทำผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2529, 11 พฤศจิกายน 2529, 15 พฤศจิกายน 2529,18 พฤศจิกายน 2529, 16 ธันวาคม 2529 และ 20 ธันวาคม 2529 ดังนี้การถูกลงโทษทางวินัยของโจทก์ที่ได้รับการล้างมลทิน ตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษาพ.ศ. 2530 จึงมีเฉพาะการถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนที่ได้รับโทษไปแล้วตามคำสั่งของจำเลยที่ 58/2527 เท่านั้น ส่วนการถูกตักเตือนเป็นหนังสือตามคำสั่งดังกล่าว หาใช่เป็นการถูกลงโทษอันจะได้รับการล้างมลทินไม่ เพราะตามข้อบังคับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฉบับที่ 46 ฯ พ.ศ. 2524 ข้อ 7 โทษผิดวินัยที่ 5 สถาน คือ
7.1 ไล่ออก
7.2 ให้ออก
7.3 ลดขั้นเงินเดือน
7.4 ตัดเงินเดือน
7.5 ภาคทัณฑ์
กรณีจึงต้องถือว่าการที่โจทก์ถูกตักเตือนเป็นหนังสือยังมีอยู่ส่วนการกระทำผิดตามคำสั่งที่ 57/2531 ที่จำเลยอ้างมาเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างครั้งนี้ โจทก์มิได้ถูกลงโทษทางวินัยและได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติ ดังกล่าวใช้บังคับ โจทก์จึงไม่ได้รับการล้างมลทินในความผิดทางวินัย คราวที่จำเลยอ้างมาเป็นมูลเลิกจ้างโจทก์ปรากฏตามคำสั่งที่ 57/2531 ตามเอกสารหมาย ล.9 ว่า โจทก์กระทำผิดวินัยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับคำสั่งของจำเลยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายรายงานเท็จและเสนอความเห็นไม่สุจริตต่อผู้บังคับบัญชา ยินยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์กล่าวคือปล่อยปละละเลย ขาดความเอาใจใส่ในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ตรวจตราควบคุมเอกสารการทำงานของพนักงานให้เป็นไปโดยเรียบร้อยถูกต้อง มีการแก้ไขเอกสารการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับประโยชน์ไปโดยมิชอบแต่จากการสอบสวนไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้แก้ไขเอกสารดังกล่าว จำเลยจึงถือว่าโจทก์กระทำผิดวินัยตามข้อ 4.3, 4.7และ 4.11 แห่งข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 46ฯ (พ.ศ. 2524) โดยให้ลงโทษตามข้อ 9.2, 9.3 และ 9.8 ตามข้อบังคับดังกล่าว ซึ่งกรณีเหล่านี้กำหนดอยู่ในข้อบังคับข้อ 9 ว่า “การลงโทษให้ออกนั้นให้กระทำในกรณีที่พนักงานกระทำผิดวินัย อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่องค์การไม่ถึงร้ายแรงและได้รับการตักเตือนเป็นหนังสือแล้วในความผิดดังต่อไปนี้
ฯลฯ
9.2 ประมาทเลินเล่อในหน้าที่อยู่เนือง ๆ
9.3 จงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับคำสั่งขององค์การระเบียบของส่วนราชการหรือมติคณะรัฐมนตรี
ฯลฯ
9.8 ประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ ฯลฯ”
พึงเห็นได้ว่า การที่จะลงโทษโจทก์ตามข้อบังคับข้อ 9 โจทก์จะต้องได้รับการตักเตือนเป็นหนังสือในความผิดตามข้อ 9.2, 9.3และ 9.8 มาก่อน และดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วในตอนต้นว่า กรณีของโจทก์การถูกตัดเตือนเป็นหนังสือไม่ได้รับการล้างมลทิน จึงต้องถือว่าโจทก์ยังคงเป็นผู้ถูกตัดเตือนเป็นหนังสือมาก่อน จำเลยจึงชอบที่จะลงโทษโจทก์ตามคำสั่งที่ 57/2531 ของจำเลยได้”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share