คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์รับขนส่งสินค้าในกรณีที่ลูกค้าไม่มีรถไปบรรทุกสินค้าที่คลังสินค้าด้วยการนำรถของโจทก์เองไปบรรทุกสินค้าส่งให้แก่ลูกค้าและการที่โจทก์รับขนส่งสินค้ายางพาราจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังกรุงเทพมหานครนั้นเป็นการให้บริการเป็นครั้งคราวไม่ใช่ประกอบกิจการขนส่งอย่างถาวรแม้จะฟังว่าโจทก์ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลแต่ก็ถือเป็นการกระทำเพื่อการค้าหรือธุรกิจของโจทก์เองจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโจทก์ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา81(1)(ณ)แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์ต้องนำค่าขนส่งมารวมคำนวณเป็นฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ประมวลรัษฎากรมาตรา89/1วรรคหนึ่งกำหนดในเรื่องของเงินเพิ่มที่จะต้องเสียไว้2กรณีคือไม่ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครบถ้วนภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้และวรรคสองกำหนดให้การลดเงินเพิ่มนั้นสามารถกระทำได้ในกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดในมาตรา3อัฎฐและได้ชำระภาษีนำส่งภาษีภายในเวลาที่ขยายให้นั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้อนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดไว้ในมาตราดังกล่าวทั้งไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดให้งดเงินเพิ่มได้จึงไม่มีเหตุที่จะลดหรืองดเงินเพิ่มให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.73.1) ของจำเลยที่ 1 เลขที่ 8249/5/100146ถึง 8249/5/100170 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2537 รวม 25 ฉบับและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ (ภ.ส.7) ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4เลขที่ 8249/5/100157 ถึง 8249/5/100181 ลงวันที่ 28มิถุนายน 2537 รวม 25 ฉบับ หากศาลเห็นว่าโจทก์ต้องรับผิดในค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ขอให้พิจารณาลดเงินเพิ่มดังกล่าวทั้งหมดรวมเป็นเงิน 56,234.22 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การรับจ้างขนส่งสินค้าของโจทก์มิได้เป็นวัตถุประสงค์หลักของการประกอบกิจการ ถือได้ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ประกอบกิจการรับขนส่งสินค้าให้แก่บุคคลอื่นเป็นปกติธุระเป็นส่วนใหญ่ อันจะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อโจทก์มิได้นำรายรับจากการขนส่งมารวมเป็นฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า มีเหตุอันควรผ่อนผันให้โจทก์จึงพิจารณางดเบี้ยปรับที่เรียกเก็บ การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาตามศาลอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งในราชอาณาจักรอันจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ประมวลรัษฎากร มาตรา 81 บัญญัติว่า “ให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) การขายสินค้าที่มิใช่การส่งออกหรือการให้บริการดังต่อไปนี้
(ก)…
ฯลฯ
(ณ) การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร” ได้ความจากคำเบิกความของนายรังสี ธนมิตรรามณี กรรมการผู้จัดการโจทก์ว่า การประกอบกิจการขนส่งของโจทก์นั้นโจทก์มีหัวรถพ่วงสำหรับลากจูง 3 คันกระบะพ่วง 3 คัน รถกระบะหกล้อ 1 คัน และรถกระบะสี่ล้อ 1 คันในการค้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของโจทก์ หากลูกค้าต้องการรับสินค้าจากโจทก์โดยตรงก็จะต้องชำระค่าสินค้าในราคาหนึ่ง แต่ถ้าลูกค้าต้องการจะรับสินค้าจากคลังสินค้าในเครือบริษัทปูนซีเมนต์ไทยจำกัด จะมีราคาถูกว่า ทั้งนี้โจทก์จะออกใบสั่งซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้าเพื่อไปรับสินค้าเอง หากลูกค้าไม่มีรถที่จะไปรับของจากคลังสินค้าโดยตรงโจทก์จะนำรถบรรทุกของโจทก์ไปรับจ้างลูกค้าเพื่อขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปส่งให้แก่ลูกค้าและในการมารับสินค้าจากคลังสินค้าที่กรุงเทพมหานคร โจทก์ต้องใช้รถเปล่าไปรับสินค้า ดังนั้น โจทก์จึงติดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญดีสุราษฎร์ขนส่งเพื่อรับสินค้ายางพาราไปส่งยังกรุงเทพมหานครและยังได้ความว่าบริษัทโจทก์ไม่มีป้ายติดว่ารับจ้างขนส่งสินค้าทั่วไป เห็นว่า ที่โจทก์รับขนส่งสินค้าในกรณีที่ลูกค้าไม่มีรถไปบรรทุกสินค้าที่คลังสินค้าด้วยการนำรถของโจทก์เองไปบรรทุกสินค้าให้แก่ลูกค้า และการที่โจทก์รับขนส่งสินค้ายางพาราจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังกรุงเทพมหานครนั้นเป็นการให้บริการเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ประกอบกิจการขนส่งอย่างถาวร แม้จะฟังว่าโจทก์ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคล แต่กรณีดังกล่าวก็ถือเป็นการกระทำเพื่อการค้าหรือธุรกิจของโจทก์เอง จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร โจทก์ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรา 81 (1) (ณ) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงต้องนำค่าขนส่งมารวมคำนวณเป็นฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์ขาดเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีมีเหตุควรลดหรืองดเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรมาตรา 89/1 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติในเรื่องของเงินเพิ่มที่จะต้องเสียไว้ 2 กรณี คือ ไม่ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ และวรรคสองบัญญัติให้การลดเงินเพิ่มนั้นสามารถกระทำได้ในกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดในมาตรา 3 อัฎฐ แห่งประมวลรัษฎากรได้ชำระภาษีหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขายให้นั้น สำหรับกรณีของโจทก์ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้อนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดไว้ในบทมาตราดังกล่าวทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้งดเงินเพิ่มได้ จึงไม่มีเหตุที่จะลดหรืองดเพิ่มให้แก่โจทก์ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share