คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยพูดด่าโจทก์ว่า “มึงเก่งหรืออีบัว มึงอย่าเก่งมากนัก” และท้าให้โจทก์ซึ่งเป็นมารดามาสู้กับตน โดยกล่าวว่า “มึงอย่าเก่งหลายอีบัว นาบ่ใช่นามึงนาของพ่อ ถ้าเก่งมาสู้กับบักลีกูจะจับขามึงวี่ลงเฮือน” ซึ่งหมายความว่า ถ้าโจทก์เก่งจะจับขาเหวี่ยงลงจากบ้าน ล้วนแต่เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดาผู้เป็นบุพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรง ตามวินัยของบุตรทั่วไปทั้งเป็นการลบหลู่คุณมารดา มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่หยาบคายและไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือเป็นการเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดิน 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 194 ตำบลเหล่าเสือโก้ก อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี ให้แก่จำเลยโดยเสน่หา ต่อมาโจทก์มีอายุมากขึ้นไม่สามารถประกอบอาชีพได้ทำให้กลายเป็นคนยากไร้ ไม่มีสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงชีพ จำเลยสามารถจะให้สิ่งจำเป็นดังกล่าวแก่โจทก์ได้ แต่ไม่ยอมให้ จำเลยร่วมกับนายกุล มีสิทธิ์ ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ด้วยการกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์ว่า “อีบัว มึงอย่างเก่งหลายเด้กูซิจับขามึงวี่ลงเรือนเด้ มึงอย่าสิเว้าหลาย นาพ่อกูบ่แม่นนามึง” หมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยดื้อรั้นจำเลยจะจับขาโจทก์เหวี่ยงให้ตกลงจากบ้านโจทก์ หาว่าโจทก์เป็นคนพูดมาก ที่โจทก์ยกที่นาให้แก่จำเลย เป็นที่นาของบิดาจำเลยมิใช่ที่นาโจทก์ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยคืนและจดทะเบียนที่ดินให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียน ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยให้ความเคารพนับถือบูชาโจทก์ซึ่งเป็นมารดาตลอดมาไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นหรือดุด่าหรือหมิ่นประมาทโจทก์เหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยเนื่องจากจำเลยได้ไปเป็นพยานในคดีที่โจทก์ฟ้องนางคำ มีสิทธิ์ เพื่อถอนคืนการให้ประกอบกับโจทก์ถูกนางพรสายแววและนายมนตรี สีสิทธิ์ ยุยงส่งเสริมให้เกลียดชังจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นบุตรโจทก์ เมื่อปี พ.ศ. 2520 โจทก์ได้ยกที่ดิน 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 194ตำบลเหล่าเสือโก้ก อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีเนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน ให้จำเลย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้ประพฤติเนรคุณเพราะเหตุหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงหรือไม่ ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า เมื่อวันที่11 มิถุนายน 2530 เวลาเช้า จำเลยได้ไปที่บ้านโจทก์และถามโจทก์ว่า ฟ้องเอานาคืนจากนางคำจริงหรือโจทก์ตอบว่าฟ้องจริงเพราะนางคำไม่เลี้ยงดู จำเลยได้กระโดดลงจากบ้านแล้วพูดว่า “มึงเก่งบ่อีบัว มึงอย่าเก่งหลายอีบัว นาบ่ใช่นามึง นาของพ่อ ถ้าเก่งมาเอากับบักลีเบิ่ง กูจะจับขามึงวี่ลงเฮือน” ซึ่งหมายความว่า”ถ้าโจทก์เก่งจะจับขาเหวี่ยงให้ตกจากบ้านและนาที่ฟ้องเป็นนาของพ่อไม่ใช่นาของโจทก์” นอกจากโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานแล้ว ยังมีนายสุข นางพร สายแวว และนายมนตรี สีสิทธิ์เบิกความสนับสนุนพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญและมีเหตุผลฝ่ายจำเลยมีแต่จำเลยเบิกความเพียงคนเดียวลอย ๆ ไม่มีพยานอื่นสนับสนุน พยานโจทก์แม้จะเป็นบุตรและบุตรเขยของโจทก์ แต่ในที่เกิดเหตุมีเฉพาะโจทก์และบุตรโจทก์เท่านั้น พยานดังกล่าวไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนที่จะฟังว่าเบิกความปรักปรำจำเลยพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานจำเลย คดีฟังได้ว่าจำเลยได้กล่าวถ้อยคำต่อโจทก์ดังที่โจทก์นำสืบจริงปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การกล่าวถ้อยคำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นมารดาของจำเลยเป็นผู้มีพระคุณต่อจำเลย ตามปกติวิสัยบุตรย่อมต้องให้ความเคารพและเทิดทูนมารดาไว้เหนือผู้อื่นการที่จำเลยพูดด่าว่าโจทก์ว่า”มึงเก่งหรืออีบัว” ก็ดี และว่ามึงอย่าเก่งมากนักก็ดีและทำให้โจทก์ซึ่งเป็นมารดามาสู้กับตนโดยกล่าวว่า “มึงอย่าเก่งหลายอีบัวนาบ่ใช่นามึง นาของพ่อ ถ้าเก่งมาสู้กับบักลี กูจะจับขามึงวี่ลงเฮือน” ซึ่งหมายความว่าถ้าโจทก์เก่งจะจับขาเหวี่ยงลงจากบ้านล้วนแต่เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดาผู้เป็นบุพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไป ทั้งเป็นการลบหลู่บุญคุณมารดาอีกด้วย มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่หยาบคายและไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นเพียงการกล่าววาจาที่ไม่สุภาพและไม่สมควรเท่านั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนและจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 194 ตำบลเหล่าเสือโก้ก อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย

Share