แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดโทษให้ผู้กระทำความผิดฐานพยายามต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสามเนื่องจากต้องรับโทษสูงขึ้นกว่าการกระทำความผิดขั้นพยายามทั่วๆ ไป เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง ย่อมไม่อาจนำมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามโดยต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามบทบัญญัติมาตรานี้ ทั้งยังเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2550 มาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 13 ทวิ, 89, 116 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12, 18, 58, 62, 81 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและคีตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2), 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ไนครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ไนครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 8 ปี และปรับคนละ 600,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและฐานขายคีตามีนเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 ปี และปรับคนละ 400,000 บาท ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน และฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คำให้การชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุกคนละ 6 ปี และปรับคนละ 450,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุกคนละ 4 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 300,000 บาท ส่วนฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกคนละ 3 เดือน และฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกคนละ 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 10 ปี 12 เดือน และปรับคนละ 750,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและคีตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดมีคำสั่งอนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2) 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาดรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 ฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันพยายามขายคีตามีน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปีและปรับคนละ 266,666.66 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 3 ปี และปรับคนละ 199,999.99 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 9 ปี 6 เดือน และปรับ 649,999.99 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านรับฟังได้เบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสามเป็นคนต่างด้าวสัญชาติมาเลเซีย เดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และคีตามีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งผสมรวมกันอยู่ในวัตถุเม็ดกลมแบนจำนวน 674 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักรวม 204.370 กรัม โดยเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 4.021 กรัม คีตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 25.805 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเพื่อขาย นอกจากนี้ จำเลยทั้งสามร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและขายคีตามีนซึ่งผสมรวมกันอยู่ในวัตถุเม็ดกลมแบนนั้นจำนวน 49 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักรวม 14.680 กรัม โดยเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1.573 กรัม คีตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.831 กรัม ให้แก่เจ้าพนักงานที่ปลอมตัวเข้าล่อซื้อร่วมกับสายลับ สำหรับข้อหาความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์ ข้อหาความผิดทั้งสองฐานเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนข้อหาความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย โจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา ข้อหาความผิดทั้งสองฐานเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันพยายามขายคีตามีน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์ฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 บัญญัติว่า “ผู้ใดพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ” ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้ลงโทษเฉพาะผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเช่นเดียวกับจำเลยทั้งสามในคดีนี้ กรณีจึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ซึ่งเป็นบททั่วไปมาปรับใช้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและขายคีตามีนอันเป็นความผิดสำเร็จ ตามคำขอท้ายคำฟ้อง โจทก์ก็ขอให้ลงโทษอย่างความผิดสำเร็จ อันเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามอย่างผู้กระทำความผิดสำเร็จ นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสาม มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท และศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยทั้งสามเพียงสองในสามส่วน โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ซึ่งเป็นบททั่วไป ปรับจำเลยคนละ 266,666.66 บาท เป็นการกำหนดโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิดสำเร็จ เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ที่เป็นบทเฉพาะ และไม่เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ที่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามอย่างผู้กระทำความผิดสำเร็จ เห็นว่า พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดโทษให้ผู้กระทำความผิดฐานพยายามต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จ ซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสามเนื่องจากต้องรับโทษสูงขึ้นกว่าการกระทำความผิดขั้นพยายามทั่วๆ ไป เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 7 ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง ย่อมไม่อาจนำมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามโดยต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามบทบัญญัติมาตรานี้ ทั้งยังเป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้องซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันพยายามขายคีตามีน ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2) 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 โดยไม่ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน