คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5848/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในประเด็นที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าจำเลยนำข้อนำสืบที่นอกเหนือจากคำให้การของจำเลยมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ จำเลยฎีกาโต้แย้งยืนยันว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โดยมิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยว่าชอบหรือไม่ชอบแต่อย่างใดจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามใบทะเบียนจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรและข้อบังคับของโจทก์ระบุวัตถุประสงค์ให้สมาชิกกลุ่มดำเนินการร่วมกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการประกอบอาชีพประมง รวมทั้งการจัดหาสิ่งของที่สมาชิกต้องการมาจำหน่าย และสำหรับบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่สมาชิกกลุ่มจะซื้อสิ่งของที่โจทก์จัดหามาขายให้สมาชิกต้องซื้อในนามของสมาชิกผู้ให้ความยินยอม ดังนี้ วัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงมิใช่วัตถุประสงค์ของการค้าหากำไร ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำการค้า คำฟ้องโจทก์เรียกเงินค่าสิ่งของที่โจทก์นำมาขายให้สมาชิกจึงไม่ใช่คำฟ้องที่พ่อค้าเรียกเอาค่าส่งมอบสินค้าจากลูกค้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) เดิม ที่มีกำหนดอายุความสองปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทกลุ่มเกษตรกรมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของสมาชิกจำเลยเป็นสมาชิกของโจทก์ จำเลยได้ซื้อและรับน้ำมันเชื้อเพลิงไปจากโจทก์ จำเลยค้างชำระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์คิดเป็นเงิน211,864.90 บาท โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงคิดค่าปรับในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าวเป็นเงิน 111,216 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์323,080.90 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 323,080.90 บาทพร้อมค่าปรับในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนของจำนวนเงิน211,864.90 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์คิดเป็นเงินเพียง 100,000 บาท เท่านั้น และจำเลยได้ชำระหนี้บางส่วนไปแล้วหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่ถูกต้องและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือน โจทก์ฟ้องเรียกราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเลยซื้อไปเกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 211,864.90 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาจำเลยในประเด็นแรกที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์เป็นเงินเท่าใดนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยประเด็นนี้ โดยให้เหตุผลว่าจำเลยนำข้อนำสืบที่นอกเหนือจากคำให้การของจำเลยมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ไม่ชอบจำเลยฎีกาโต้แย้งยืนยันว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โดยมิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยว่าชอบหรือไม่ชอบอย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้
สำหรับฎีกาจำเลยในประเด็นที่ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามใบทะเบียนจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรและข้อบังคับระบุวัตถุประสงค์ให้สมาชิกกลุ่มดำเนินการร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการประกอบอาชีพประมง รวมทั้งการจัดหาสิ่งของที่สมาชิกต้องการมาจำหน่าย สำหรับบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่สมาชิกกลุ่มจะซื้อสิ่งของที่โจทก์จัดหามาขายให้สมาชิกนั้น ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ต้องซื้อในนามของสมาชิกผู้ให้ความยินยอมวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงมิใช่วัตถุประสงค์ของการค้าหากำไรถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำการค้าคำฟ้องโจทก์เรียกเงินค่าสิ่งของที่โจทก์นำมาขายให้สมาชิก จึงไม่ใช่คำฟ้องที่พ่อค้าเรียกเอาค่าส่งมอบสินค้าจากลูกค้า ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) เดิม ที่มีกำหนดอายุความสองปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share