คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5842/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โจทก์ต้องดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา แม้ผู้ร้องจะได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยการประมูลซื้อสิทธิเรียกร้องรายนี้มาจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องก็ได้สิทธิมาเท่าที่โจทก์มีอยู่ ผู้ร้องจึงตกอยู่ในบังคับที่จะต้องบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม
การอนุญาตให้บุคคลใดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตามความจำเป็นและความสะดวกในการพิจารณาคดี เมื่อผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองเพราะเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสองตกลงชำระเงินจำนวน 1,497,845 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,396,712 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยชำระในวันทำสัญญา 91,259 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 30,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 25 ตุลาคม 2537 งวดต่อไปทุกวันที่ 25 ของเดือน และต้องชำระให้เสร็จภายใน 5 ปี นับแต่วันทำสัญญา หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้บังคับคดีได้ทันที รวมทั้งทรัพย์สินตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 3
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ปัจจุบันโจทก์เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเงินทุนไทยธำรง จำกัด โจทก์เป็นสถาบันการเงินที่ถูกสั่งระงับการดำเนินกิจการตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน เห็นว่าไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะการดำเนินการได้ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการทำการชำระบัญชีตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 เมื่อได้ทำการชำระบัญชีเสร็จแล้ว ผู้ชำระบัญชีได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้สั่งให้โจทก์ล้มละลายเนื่องจากโจทก์มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ศาลได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ล้มละลายแล้ว อำนาจการจัดการทรัพย์สินจึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รวบรวมทรัพย์สินของโจทก์โดยนำสิทธิเรียกร้องของโจทก์ออกขายโดยวิธีประมูล ผู้ร้องเป็นผู้ชนะการประมูลได้เข้าทำสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว จึงถือว่าผู้ร้องเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดีและเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง รวมทั้งมีเหตุจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาในคดีนี้เพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนที่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2537 โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่มีคำพิพากษาวันที่ยื่นคำร้องขอเกินกำหนด 10 ปีแล้ว จึงไม่เห็นควรให้สวมสิทธิ ยกคำร้องขอ ค่าคำร้องขอเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติว่า “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือแต่บางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น” ดังนั้น โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา แม้ผู้ร้องจะได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยการประมูลซื้อสิทธิเรียกร้องรายนี้มาจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องก็ได้สิทธิมาเท่าที่โจทก์มีอยู่ ผู้ร้องจึงตกอยู่ในบังคับที่จะต้องบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมตามบทกฎหมายข้างต้นด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีได้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2537 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิในวันที่ 14 กันยายน 2547 ยังไม่เกินกำหนด 10 ปี แต่อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2547 และศาลฎีกาได้รับวันที่ 28 ธันวาคม 2547 ได้ล่วงเลยกำหนดเวลา 10 ปี แล้ว แม้ศาลฎีกาจะมีคำสั่งอนุญาต ผู้ร้องก็ย่อมไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองต่อไปได้ ประกอบกับการอนุญาตให้บุคคลใดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตามความจำเป็นและความสะดวกในการพิจารณาคดี เมื่อผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองเพราะเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share