แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยขับรถยนต์บรรทุกแซงออกไปทางด้านขวาเพื่อหลบหนีการจับกุมโดยมิได้ชนผู้เสียหายทั้งสองและรถที่จอดขวางทางนั้น มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองแต่การที่จำเลยขับรถแซงออกทางด้านขวาเพื่อหลบหนีการจับกุมดังกล่าว จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจชนผู้เสียหายทั้งสองให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ อันเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และเป็นการกระทำรวมอยู่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่จึงลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือจำเลยขับรถยนต์ประเภทกึ่งพ่วงโดยรถลากจูงเป็นรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0248 นนทบุรี ซึ่งมี 3 เพลา 6 ล้อ ชนิดเพลาที่ 2และที่ 3 เป็นเพลาคู่ใช้ยางคู่ (ยาง 10 เส้น) และตัวรถกึ่งพ่วงชนิดเพลาคู่ใช้ยางคู่ (ยาง 8 เส้น) หมายเลขทะเบียนเดียวกันโดยมีน้ำหนักบรรทุกและน้ำหนักลงเพลาของรถลากจูงและรถกึ่งพ่วงรวม 38,920 กิโลกรัมเกินกว่า 37,400 กิโลกรัมตามอัตราประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินและผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทานกำหนดจำนวน 1,520 กิโลกรัม แล่นไปตามถนนสายโพธิ์พระยา-ท่าเรือ ซึ่งเป็นทางหลวงแผ่นดินทางหลวงพิเศษ ทางหลวงสัมปทาน จากอำเภอดอนพุดมุ่งหน้าไปอำเภอบ้านหมอ โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เมื่อพลตำรวจสมชายคงนอก เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรีให้สัญญาณโบกมือให้จำเลยหยุดรถเพื่อตรวจสอบ จำเลยกลับฝ่าฝืนสัญญาณจราจรของเจ้าพนักงานดังกล่าว ขับรถเร่งหนีไปด้วยความเร็วในขณะที่รถคันอื่นแล่นอยู่ข้างหลัง โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น พลตำรวจสมชายและพลตำรวจวิเชษฐ์ วรพุฒ ได้ติดตามจำเลยไปสกัดอยู่ด้านหน้าและยืนอยู่กลางถนนพร้อมกับให้สัญญาณจำเลยหยุดรถเพื่อจับกุมซึ่งเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่จำเลยโดยมีเจตนาฆ่าพลตำรวจสมชายและพลตำรวจวิเชษฐ์ ได้ขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวพุ่งเข้าชนพลตำรวจสมชายและพลตำรวจวิเชษฐ์จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากพลตำรวจสมชายและพลตำรวจวิเชษฐ์ได้พุ่งตัวหลบข้างทาง จึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยเหตุเกิดที่ตำบลดอนพุด อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 21 พระราชบัญญัติทางหลวงพ.ศ. 2535 มาตรา 61
จำเลยให้การรับสารภาพฐานใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักบรรทุกลงเพลาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ฐานไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรและฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น แต่ปฏิเสธฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2), 80 ประกอบมาตรา 52(1)ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 21 วรรคหนึ่ง, 43(8),152, 160 วรรคสาม ลงโทษฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุก 2 เดือน และพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61,73 ให้จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นคงจำคุก 1 เดือน ฐานใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักบรรทุกลงเพลาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดคงจำคุก 1 เดือนรวมจำคุก 33 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถยนต์ประเภทกึ่งพ่วง หมายเลขทะเบียน 70-0248 นนทบุรี บรรทุกรายมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นและฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรตามฟ้อง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือไม่ โจทก์มีพลตำรวจสมชายคงนอก และพลตำรวจวิเชษฐ์ วรพุฒ ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความยืนยันว่า ขณะผู้เสียหายทั้งสองปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ตู้พักสายตรวจริมถนนโพธิ์พระยา-ท่าเรือ ได้มีชายคนหนึ่งขับรถยนต์กระบะมาแจ้งแก่พลตำรวจสมชายว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบแปดล้อบรรทุกทรายทำทรายตกหล่นใส่รถของชายดังกล่าวได้รับความเสียหาย พลตำรวจสมชายจึงออกไปโบกมือให้สัญญาณให้หยุดรถ จำเลยไม่ยอมหยุดและแล่นหลบหนีไปพลตำรวจสมชายจึงให้พลตำรวจวิเชษฐ์ขับรถยนต์กระบะของทางราชการตามไปได้ 4 ถึง 5 กิโลเมตร จนทันรถของจำเลยพลตำรวจสมชายโบกมือให้จำเลยหยุดรถ จำเลยหยุดรถเดินมายังรถยนต์ของพลตำรวจสมชาย พลตำรวจสมชายขอตรวจใบอนุญาตขับขี่ จำเลยแจ้งว่ามีแต่ใบสั่ง พลตำรวจสมชายจึงขอดูใบสั่ง จำเลยเดินกลับไปที่รถก่อนขึ้นรถจำเลยตะโกนว่า หากอยากได้ให้ขับรถตามไปให้ทัน แล้วจำเลยขับรถยนต์บรรทุกต่อไปด้วยความรวดเร็ว ผู้เสียหายทั้งสองจึงขับรถยนต์ตามไปอีก เมื่อขับไปทันพลตำรวจสมชายโบกมือให้จำเลยหยุดรถหลายครั้งแต่จำเลยไม่ยอมหยุด พลตำรวจวิเชษฐ์จึงเร่งความเร็วแซงขึ้นหน้ารถของจำเลยพร้อมเปิดสัญญาณไฟและเสียงไซเรน ไปจอดขวางทางเดินรถด้านหน้าห่าง 2 ถึง 3 กิโลเมตร และเรียกรถยนต์บรรทุกน้ำมันที่แล่นสวนทางมาให้หยุดปิดทางเดินรถสวน แต่จำเลยไม่ยอมลดความเร็วกลับแซงขึ้นมาด้านขวาและพุ่งเข้าหาผู้เสียหายทั้งสองซึ่งยืนอยู่บริเวณแนวกึ่งกลางถนน คนขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันที่จอดปิดถนนด้วยนั้นเกรงว่ารถที่จำเลยขับจะพุ่งเข้าชนจึงเบนรถหลบไปทางด้านซ้ายส่วนผู้เสียหายทั้งสองเห็นว่าหากไม่หลบรถที่จำเลยขับก็จะพุ่งชนถึงแก่ความตาย จึงพุ่งหลบไปข้างทางด้านรถยนต์ของทางราชการจำเลยขับรถหลบหนีไปจอดที่โรงปูนซิเมนต์ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณที่เกิดเหตุที่จำเลยขับรถยนต์พุ่งชนผู้เสียหายทั้งสองปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 แต่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า รถที่พลตำรวจวิเชษฐ์ขับกับรถยนต์บรรทุกน้ำมันจอดอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงไม่ยอมชะลอหรือหยุดรถ จนเข้ามาใกล้ในระยะ 5 ถึง 6 เมตรรถยนต์บรรทุกน้ำมันได้เริ่มเบนรถไปทางด้านซ้าย คำเบิกความดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุแล้วจะเห็นได้ว่ารถยนต์ที่พลตำรวจวิเชษฐ์ขับและรถยนต์บรรทุกน้ำมันจอดอยู่ห่างกันเพียง 2 เมตร จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจำเลยจะขับรถยนต์บรรทุกสิบแปดล้อบรรทุกทรายเต็มคันรถแซงออกไปทางด้านขวาและหลบไปได้พ้นโดยที่ไม่ชนกับรถยนต์บรรทุกน้ำมัน เพราะจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วเมื่อเข้ามาใกล้ 5 ถึง 6 เมตร ไม่น่าที่รถยนต์บรรทุกน้ำมันจะเบนรถไปทางด้านซ้ายได้ทันเนื่องจากเป็นรถหนักเคลื่อนตัวออกได้ช้าคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นพิรุธทำให้สงสัยว่า ได้มีรถยนต์บรรทุกน้ำมันจอดขวางถนนตามที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความหรือไม่ หากมีรถยนต์บรรทุกน้ำมันจอดขวางอยู่จริง พนักงานสอบสวนก็น่าจะได้สอบสวนคนขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันไว้เป็นพยาน เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์มากกว่า แม้นางศิริเพ็ญศรีสวัสดิ์หรืออินเนียมซึ่งอยู่ที่ร้านขายของห่างถนนที่เกิดเหตุประมาณ150 เมตร จะให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมายจ.5 ระบุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความก็ตามแต่ในชั้นพิจารณานางศิริเพ็ญเบิกความยืนยันว่า คำให้การชั้นสอบสวนที่ระบุว่ารถยนต์บรรทุกสิบแปดล้อไม่หยุดได้พุ่งเข้าชนเจ้าพนักงานตำรวจนั้นพยานไม่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด ข้อความนี้เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้อ่านให้ฟัง คำให้การของนางศิริเพ็ญตามเอกสารหมายจ.5 จึงมีพิรุธ ทั้งในตอนแรกที่ผู้เสียหายทั้งสองขับรถตามจำเลยไปจนทันและโบกมือให้จำเลยหยุดรถนั้น หากผู้เสียหายทั้งสองตามไปโดยมีเจตนาจับกุมจำเลยตามที่ได้รับแจ้งจากชายคนที่ขับรถยนต์กระบะว่าจำเลยทำทรายตกหล่นถูกรถยนต์กระบะของชายดังกล่าวได้รับความเสียหาย เมื่อจำเลยจอดรถแล้ว ผู้เสียหายทั้งสองก็คงไม่อยู่ที่รถรอให้จำเลยเดินไปหาดังที่พลตำรวจสมชายเบิกความ จึงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายทั้งสองเบิกความโดยปกปิดข้อเท็จจริงบางประการ จำเลยมีอาชีพรับจ้างขับรถยนต์บรรทุกทั่วไป ซึ่งต้องพบเห็นเจ้าพนักงานตำรวจอยู่เสมอ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะพูดจาท้าทายให้ผู้เสียหายทั้งสองขับรถตามไปให้ทันตามที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความ โดยเฉพาะไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสองเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนการที่จำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบแปดล้อแซงออกไปทางด้านขวาเพื่อหลบหนีการจับกุมโดยมิได้ชนผู้เสียหายทั้งสองและรถที่จอดขวางนั้นมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่อย่างไรก็ตามการที่จำเลยขับรถแซงออกทางด้านขวาเพื่อหลบหนีการจับกุมดังกล่าว จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า อาจชนผู้เสียหายทั้งสองให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ อันเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ และเป็นการกระทำรวมอยู่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 ประกอบด้วยมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยให้การชั้นจับกุมชั้นสอบสวนและเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษความผิดกระทงอื่นแล้วรวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2