คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิลซื้อเชื่อสินค้าต่างๆ รายนี้เป็นหลักฐานแห่งการก่อหนี้สินและสิทธิเรียกร้องจึงเป็นเอกสารสิทธิ
ข้อความที่โจทก์หาว่าจำเลยปลอมนั้นเป็นการเปลี่ยนตัวผู้ซื้อหรือลูกหนี้ (ตามบิลซื้อเชื่อสินค้า)จากนายสมบูรณ์เป็นนางทองคำ วงศาโรจน์ เมื่อจำเลยอ้างส่งเป็นพยานในคดีแพ่งอันเป็นเวลาที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ที่ 1(หลาน) เข้ารับมรดกความแทนนางทองคำ วงศาโรจน์แล้วโจทก์ที่ 1 อาจเสียหายจึงอยู่ในฐานะผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
การเติมข้อความในเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเอง แต่จำเลยหมดอำนาจที่จะเติมแล้ว เพราะได้นำไปใช้เป็นหลักฐานในการขายสินค้าเชื่อให้แก่นายสมบูรณ์ จนนายสมบูรณ์กับโจทก์ที่ 2 ได้ตรวจรับสิ่งของและเซ็นชื่อไว้ในบิลนำส่งของที่ซื้อเชื่อนั้นแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารได้
นิติบุคคลอาจรับผิดทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการดำเนินการของนิติบุคคลได้ถ้าการกระทำผิดทางอาญานั้นกรรมการดำเนินการกระทำไปเกี่ยวกับกิจการตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลที่ได้จดทะเบียนไว้และเพื่อให้นิติบุคคลได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้น(อ้างนัยฎีกา 1669/2506)
โจทก์ที่ 2 เซ็นชื่อรับของในบิลซื้อเชื่อบางฉบับไว้แทนนายสมบูรณ์แล้วจำเลยปลอมเอกสารเหล่านั้นอ้างส่งเป็นพยานต่อศาลว่า โจทก์ที่ 2 เซ็นชื่อไว้แทนนางทองคำ วงศาโรจน์ เช่นนี้ เห็นได้ว่า โจทก์ที่ 2 ต้องรับผิดต่อนางทองคำ วงศาโรจน์ หรือทายาทได้โจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมสมคบกันบังอาจปลอมบิลเงินเชื่อหรือหนังสือซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ จากโรงเลื่อยจักรสหายการค้า รวม 154ฉบับ อันเป็นเอกสารสิทธิแห่งการก่อหนี้ซื้อเชื่อสินค้าตามรายการและราคาในเอกสารดังกล่าว โดยจำเลยร่วมสมคบกันทำขึ้นเอง หรือใช้ให้ลูกจ้างทำขึ้นโดยเพิ่มเติมข้อความว่า “ของนางทองคำ วงศาโรจน์”กับคำว่า “ทองคำ วงศาโรจน์ โดย” และเพิ่มเติมคำว่า “ตัวแทน” ลงใต้ชื่อคำว่า “คุณสมบูรณ์ฯ” ในตอนบนของเอกสารทั้ง 154 ฉบับนั้นโดยประการที่เกิดความเสียหายหรือน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือนางทองคำ วงศาโรจน์ หรือผู้อื่น หรือประชาชน จำเลยได้อ้างส่งเอกสาร 154 ฉบับนั้นเป็นพยานต่อศาลจังหวัดราชบุรีในคดีแพ่งเลขดำที่ 38/2503 ระหว่างบริษัทสหายการค้า จำกัด โจทก์ นางทองคำวงศาโรจน์ กับพวก จำเลย ทั้งนี้ โจทก์กับนางทองคำ วงศาโรจน์ไม่ได้ซื้อสินค้าเชื่อตามเอกสารปลอมทั้ง 154 ฉบับเลย

นางคำหรือทองคำ วงศาโรจน์ ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 1 ได้เข้ารับมรดกความในคดีแพ่งเลขดำที่ 38/2503 การที่จะอ้างส่งเอกสารปลอมดังกล่าวแล้วทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ผู้เป็นทายาทสำหรับโจทก์ที่ 2 ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวแล้วด้วยโจทก์ที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้ซื้อในเอกสารซื้อเชื่อสินค้าบางฉบับ ไม่ได้ยินยอมและไม่ได้สั่งให้ปลอมเอกสารเหล่านั้นจึงเป็นผู้เสียหายฟ้องคดีนี้ได้ ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญาร.ศ.127 มาตรา 222, 223, 224, 227, 63, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 83, 84

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 2 มิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ก็ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยคนใดเป็นผู้เติมข้อความดังกล่าวลงไปทั้งเอกสารเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้น แม้จำเลยจะได้เติมความลงเมื่อใดและใช้ให้ใครเติมลงไปก็ดีก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือได้ ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่484/2503 และเห็นว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น โดยสภาพไม่อาจปลอม ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารใด ๆ ได้ ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องและคดีของโจทก์มีมูล

ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่าในการซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ รายนี้ เมื่อผู้ขายนำส่งสิ่งของที่ผู้ซื้อสั่งซื้อนั้น ผู้นำส่งได้เขียนกรอกรายการสิ่งของที่นำส่งและราคาลงในบิลด้วย เมื่อฝ่ายผู้ซื้อได้ตรวจสอบสิ่งของและราคาถูกต้องกับจำนวนที่ฝ่ายผู้ขายนำส่งแล้ว ก็ลงลายมือชื่อผู้รับใบบิลนั้นมอบให้แก่ผู้นำส่งสิ่งของไป บิลซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ รายนี้จึงเป็นหลักฐานแห่งการก่อหนี้สินและสิทธิเรียกร้อง จึงเป็นเอกสารสิทธิตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าเมื่อผู้ขายนำส่งสิ่งของที่ผู้ซื้อสั่งซื้อพร้อมบิลซื้อเชื่อสินค้าให้นายสมบูรณ์หรือโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานรับเหมาก่อสร้างของนายสมบูรณ์เซ็นชื่อเป็นผู้รับของนั้น ไม่มีข้อความที่โจทก์หาว่าปลอม การกระทำของจำเลยเป็นการเปลี่ยนตัวผู้ซื้อหรือลูกหนี้นายสมบูรณ์ เป็นนางทองคำ วงศาโรจน์ จำเลยอ้างส่งเอกสารเหล่านั้นเป็นพยานในคดีแพ่งเลขดำที่ 38/2503 อันเป็นเวลาที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นหลานและเป็นผู้รับมรดกของนางทองคำ วงศาโรจน์ เป็นผู้รับมรดกความแทนนางทองคำ วงศาโรจน์ ผู้ตายแล้ว ย่อมเห็นได้ว่าถ้าฝ่ายจำเลยทำการปลอมเอกสารเหล่านั้นในตอนอ้างส่งเป็นพยานต่อศาลจริง โจทก์ที่ 1 อาจได้รับความเสียหายโจทก์ที่ 1 จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามความในมาตรา 2(4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาคำพิพากษาฎีกาที่ 484/2503ที่ศาลชั้นต้นอ้างมา รูปคดีต่างกับคดีนี้ โดยคดีนั้นจำเลยทำเอกสารของตนเองขึ้นทั้งฉบับ อันมีข้อความเป็นเท็จแต่คดีนี้เป็นการเติมข้อความในเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเองแต่จำเลยหมดอำนาจที่จะเติมเช่นนั้นได้แล้ว เพราะได้นำไปใช้เป็นหลักฐานในการขายสินค้าเชื่อให้แก่นายสมบูรณ์ จนนายสมบูรณ์กับโจทก์ที่ 2 ได้ตรวจรับสิ่งของและเซ็นชื่อไว้ในบิลนำส่งของที่ซื้อเช่นนั้นแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารได้

คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น ศาลฎีกาเห็นว่านิติบุคคลอาจรับผิดทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการดำเนินการของนิติบุคคลได้ ถ้าการกระทำผิดทางอาญานั้น กรรมการดำเนินการกระทำไปเกี่ยวกับกิจการตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลที่ได้จดทะเบียนไว้และเพื่อให้นิติบุคคลได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้นตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1669/2506

ส่วนโจทก์ที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เซ็นชื่อรับของในบิลซื้อเชื่อบางฉบับไว้แทนนายสมบูรณ์ผู้รับเหมาก่อสร้าง แล้วฝ่ายจำเลยทำการปลอมเอกสารเหล่านั้น มาอ้างส่งเป็นพยานต่อศาลว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เซ็นชื่อรับไว้แทนนางทองคำวงศาโรจน์ ก็ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าอาจทำให้โจทก์ที่ 2ต้องรับผิดต่อนางทองคำ วงศาโรจน์ หรือทายาทของนางทองคำ วงศาโรจน์ ได้โจทก์ที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ดุจกัน

พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share