คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5833/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่เมื่อจำเลยยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการครอบครองปรปักษ์ดังกล่าวจึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งได้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของกรมสรรพากรโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิตั้งแต่ปี 2531 ได้ และโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยนับแต่ปี 2531 แล้ว หาใช่นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินพิพาทครบถ้วนคือวันที่ 19 มิถุนายน 2524 ไม่เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีเมื่อปี 2536 เป็นเวลาไม่เกินกว่า 10 ปีโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 286 เนื้อที่ 88 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวาจากการขายทอดตลาดและจะเข้าทำประโยชน์ ปรากฏว่าจำเลยได้ครอบครองปลูกบ้านเลขที่ 1 หมู่ที่ 8 อาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือเป็นเนื้อที่ 5 ไร่ 65 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวขับไล่แล้วจำเลยเพิกเฉย เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์อาจนำที่ดินที่จำเลยครอบครองไปให้ผู้อื่นเช่า ได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,500 บาทขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ1,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 1หมู่ที่ 8 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 ออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 286ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 286 ที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของกรมสรรพากรเมื่อปี 2524 แต่เพิ่งมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อปี 2531 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยจะยกสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการครอบครองปรปักษ์ดังกล่าว เมื่อได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดของกรมสรรพากร ซึ่งยึดมาขายจำนวนมาก และที่ดินโฉนดเลขที่ 286ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ก็เป็นที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่กว้างมากก่อนเข้าประมูลสู้ราคามิได้มีการรังวัดตรวจสอบที่ดินทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ไปร้องคัดค้านการยึดทรัพย์ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนางเพ็ญศรี สุขสวัสดิ์พยานโจทก์ซึ่งเป็นสรรพากรอำเภอเมืองจันทบุรีว่าต้องปิดประกาศยึดทรัพย์ในที่ดินที่ยึด แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยมีบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทก็ได้ความว่าโจทก์ทราบเพียงว่าจำเลยเข้าไปอาศัยทำนา ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต เมื่อโจทก์ได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วเมื่อปี 2531 จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทใช้ยันโจทก์ได้โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย และย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยนับแต่ปี 2531 หาใช่นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินพิพาทครบถ้วนคือวันที่ 19 มิถุนายน 2524 ไม่เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีเมื่อปี 2536 เป็นเวลาไม่เกินกว่า 10 ปีโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share