คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5831/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ตั้งแต่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2534 จำเลยที่ 1 ได้ขายสินค้าของโจทก์ไปและกระทำผิดหน้าที่โดยไม่จัดทำบัญชีขายสินค้าและได้เบียดบังเอาเงินค่าขายสินค้าไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่สาม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น251,024.86 บาท พร้อมทั้งได้แนบหลักฐานแสดงสินค้าที่ขาดหายไป ตามบัญชีตรวจนับสินค้าเอกสารท้ายฟ้องดังนี้คำฟ้องที่ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว โดยไม่จำต้องบรรยายถึงรายละเอียดของ สินค้าที่ขาดหายไปอีกเพราะโจทก์ได้แนบหลักฐานแสดงรายละเอียดของสินค้าที่ขาดหายไปตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์และมีหน้าที่รับผิดชอบการซื้อขายเกี่ยวกับสินค้า จัดทำบัญชีซื้อขายเกี่ยวกับสินค้า ได้กระทำผิดหน้าที่ไม่จัดทำบัญชีและได้เบียดบังเอาเงินค่าสินค้าไปเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่สาม จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างฐานผิดสัญญาจ้างแรงงาน โดยกระทำผิดหน้าที่ลูกจ้างไม่จัดทำบัญชีและเบียดบังเอาเงินค่าสินค้าไปสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องถืออายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกสินค้าทั่วไป โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท ต่อมาเมื่อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2532 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 จำเลยที่ 1ได้ขายสินค้าของโจทก์ไปโดยกระทำผิดหน้าที่ ไม่จัดทำบัญชีและได้เบียดบังเอาเงินค่าสินค้าไปเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ 1หรือบุคคลที่สาม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 251,024.86 บาท จำเลยที่ 1ต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 17,811.85 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 268,836.71 บาท และจำเลยที่ 2ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวน 268,836.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 251,024.86 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่โจทก์เป็นเงิน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาทรัพย์สินโจทก์ไปเมื่อใด สินค้าอะไรจำนวนเท่าใด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม และโจทก์มิได้ฟ้องเรียกคืนสินค้าภายใน 1 ปี จึงขาดอายุความ จำเลยที่ 1ไม่เคยเบียดบังเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่สาม จำเลยที่ 1 ได้จัดทำบัญชีสินค้าในแต่ละวัน และมอบเงินที่ได้จากการขายสินค้าให้แก่โจทก์เป็นประจำไม่เคยขาด เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4, 6 ไม่ถูกต้องและหนังสือรับสภาพหนี้ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5พนักงานโจทก์หลอกลวงให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวจัดทำขึ้นและสินค้าของโจทก์ไม่ได้ขาดหายไปแต่อย่างใด หนังสือรับสภาพหนี้จึงไม่มีมูลหนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวน268,836.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 251,024.86 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนเป็นเงิน 100,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1ทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกสินค้าทั่วไปตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2532 ถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันในวงเงิน 100,000 บาทเมื่อปี 2532 โจทก์ตั้งคณะกรรมการตรวจนับสินค้าประจำปีปรากฏว่ามีสินค้าขาดบัญชีจำนวน 192,096.41 บาท และจำเลยที่ 1ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ตามเอกสารหมาย จ.11 เมื่อปี 2533โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจนับสินค้าปรากฏว่ามีสินค้าขาดบัญชีจำนวน 30,514.70 บาท ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2534โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจนับสินค้าอีก ปรากฏว่ามีสินค้าขาดบัญชีจำนวน 28,413.75 บาท
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า ตั้งแต่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2534จำเลยที่ 1 ได้ขายสินค้าของโจทก์ไปและกระทำผิดหน้าที่โดยไม่จัดทำบัญชีขายสินค้าและได้เบียดบังเอาเงินค่าขายสินค้าไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่สาม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น251,024.86 บาท พร้อมทั้งได้แนบหลักฐานแสดงสินค้าที่ขาดหายไปตามบัญชีตรวจนับสินค้าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4, 6 และ 7 เห็นว่าเป็นคำฟ้องที่ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วโดยไม่จำต้องบรรยายถึงรายละเอียดของสินค้าที่ขาดหายไปอีกเพราะโจทก์ได้แนบหลักฐานแสดงรายละเอียดของสินค้าที่ขาดหายไปตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่สองว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์และมีหน้าที่รับผิดชอบการซื้อขายเกี่ยวกับสินค้า จัดทำบัญชีซื้อขายเกี่ยวกับสินค้าได้กระทำผิดหน้าที่ไม่จัดทำบัญชีและได้เบียดบังเอาเงินค่าสินค้าไปเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่สาม จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างฐานผิดสัญญาจ้างแรงงานโดยกระทำผิดหน้าที่ลูกจ้างไม่จัดทำบัญชีและเบียดบังเอาเงินค่าสินค้าไป สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องถืออายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ฟ้องโจทก์ยังไม่เกินสิบปี จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า มีสินค้าขาดหายไปในขณะที่จำเลยที่ 1 ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกสินค้าทั่วไปเป็นเงิน 251,024.86 บาทที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share