คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 เมื่อเจ้าหนี้ผู้นำยึดคือโจทก์ในคดีนี้เป็นบุคคลภายนอกในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องจึงหาอาจอ้างคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเพื่อให้คดีนี้ต้องถือตามได้ไม่ ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างในคำร้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่อาจออกคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ต้องไต่สวนก่อน
กรณีที่จะเป็นการขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 200 ต้องเป็นกรณีที่โจทก์หรือจำเลยที่ได้ยื่นคำให้การไว้ไม่มาศาลในวันสืบพยาน ซึ่งวันสืบพยานดังกล่าวต้องเป็นวันสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนวนก่อนเจ้าหนี้รายอื่นและขอเฉลี่ยทรัพย์ ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำร้องในวันนัดไต่สวน ซึ่งมิใช่เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่อาจนำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดที่ศาลจะต้องจำหน่ายคดีตามมาตรา 202 มาบังคับใช้ เมื่อผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้อง การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบ และสั่งยกคำร้องจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 360,270 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 320,240 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนองออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา และโจทก์ในคดีนี้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนอง ผู้ร้องจึงขอรับชำระเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น เป็นเงิน 289,606.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 204,611.76 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จพร้อมค่าฤชาธรรมเนียม หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ผู้ร้องขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องไม่มาศาลและนำพยานหลักฐานมาสืบในวันนัดไต่สวนคำร้อง มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองและขอเฉลี่ยทรัพย์ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้อง ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องไม่มาศาล ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบ จึงยกคำร้อง ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คดีนี้โจทก์จำเลยทั้งสอง และเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ยื่นคัดค้านคำร้องของผู้ร้องว่ามิได้เป็นความจริง ทั้งคดีนี้ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปโดยปลอดจำนองแล้ว เท่ากับเป็นการยอมรับว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนองจริง ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้โดยไม่จำต้องไต่สวนนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ จำเลยทั้งสอง และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะมิได้ยื่นคำคัดค้าน แต่คู่ความและบุคคลดังกล่าวก็มิได้แถลงรับข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องกล่าวอ้างทั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้โดยมีจำนองติดไปด้วย ปรากฎตามประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี มิใช่ขายทอดตลาดแบบปลอดจำนองตามที่ผู้ร้องฎีกาแต่ประการใด และที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามาขอรับชำระหนี้จำนองในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ได้มีคำพิพากษารับรองสิทธิแล้วนั้น เห็นว่า คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อเจ้าหนี้ผู้นำยึดคือโจทก์ในคดีนี้เป็นบุคคลภายนอกในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องจึงหาอาจอ้างคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเพื่อให้คดีนี้ต้องถือตามแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างในคำร้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่อาจออกคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ต้องไต่สวนก่อน ที่ศาลชั้นต้นสั่งนัดไต่สวนก่อนออกคำสั่งตามคำร้องของผู้ร้องนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว และที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องไม่ไปศาลในวันนัดไต่สวน ศาลต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 ประการเดียวเท่านั้น จะมีคำสั่งในประเด็นแห่งคดีมิได้ เห็นว่า กรณีที่จะเป็นการขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ หรือจำเลยที่ได้ยื่นคำให้การไว้ไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ซึ่งวันสืบพยานดังกล่าวต้องเป็นวันสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น และขอเฉลี่ยทรัพย์ ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำร้องในวันนัดไต่สวน ซึ่งมิใช่เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่อาจนำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดที่ศาลจะต้องจำหน่ายคดีตามมาตรา 202 มาบังคับใช้ตามที่ผู้ร้องฎีกา เมื่อผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องโดยไม่มีเหตุอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบ และศาลสั่งยกคำร้องจึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว และที่ผู้ร้องฎีกาข้อสุดท้ายว่า ในวันนัดไต่สวนครั้งแรกศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการไต่สวนที่ผู้ร้องร้องขอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้แจ้งวันนัดแก่โจทก์ จำเลยทั้งสอง และเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยวิธีปิดประกาศที่หน้าศาล ทั้ง ๆ ที่บุคคลเหล่านี้ต่างมีภูมิลำเนาที่แน่นอนจึงเป็นการแจ้งกำหนดนัดที่ไม่ชอบนั้น ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน

Share