แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเริ่มจับกุมโจทก์ ถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ครั้นเมื่อจับกุมโจทก์ได้ก็จะต้องควบคุมตัวโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจ การควบคุมตัวโจทก์ไปส่งไปที่สถานีตำรวจจึงถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน หากเจ้าพนักงานตำรวจได้ ทำร้ายร่างกายโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจต้องถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องกรมตำรวจเป็นจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิด ที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหาย อาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้”
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 เวลากลางคืน ระหว่างที่ร้อยตำรวจโทปรีชา สมสถาน สิบตำรวจตรีเจริญ โคตรบุดดี และสิบตำรวจตรีโชติศิริ นิรพันธ์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเป็นลูกจ้างและอยู่ในสังกัดของจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่ กล่าวคือบุคคลดังกล่าวได้จับกุมตัวโจทก์เพื่อนำไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอประจันตคาม เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามดังกล่าวได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์จนได้รับบาดเจ็บคิดเป็นค่าเสียหายรวม 100,105 บาท จำเลยในฐานะเป็นนายจ้างและเจ้าสังกัดของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 100,105 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามไม่ได้กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนเริ่มสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่า ร้อยตำรวจโทปรีชา สมสถาน สิบตำรวจตรีเจริญ โคตรบุดดี และสิบตำรวจตรีโชติศิริ นิรพันธ์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่ราชการประจำสถานีตำรวจภูธร อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี ได้ร่วมกันจับกุมโจทก์ใส่กุญแจมือจากที่เกิดเหตุแล้วนำตัวโจทก์ขึ้นรถยนต์กระบะของทางราชการระหว่างทางไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอประจันตคาม เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามได้ทำร้ายร่างกายโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ บริเวณศีรษะด้านขวาบวมโน 2 แห่ง ลำตัวมีรอยเขียวช้ำ 5 แห่ง ตรงลิ้นปี่กดเจ็บ ข้อมือข้างขวามีรอยบวม ข้อมือข้างซ้ายมีรอยถลอก ดังนี้เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้” คำว่า หน่วยงานของรัฐ คดีนี้ก็คือกรมตำรวจตามมาตรา 4 และคำว่าเจ้าหน้าที่ของตน ก็คือเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสาม มีปัญหาว่า ระหว่างการควบคุมตัวโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรประจันตคามนั้น เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามได้ทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นการทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เห็นว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามเริ่มจับกุมโจทก์ ถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ครั้นเมื่อจับกุมโจทก์ได้ก็จะต้องควบคุมตัวโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอประจันตคาม ดังนั้น การควบคุมตัวโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอประจันตคามจึงถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามได้ปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน ดังนั้น หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอประจันตคามต้องถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายได้ ที่ศาลล่างทั้งสองงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่