แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน15 ปีไปเสียจากความปกครองดูแลของบิดา เพื่อการอนาจารต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุว่า ขอให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าววรรคใด และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 317 วรรคแรก ซึ่งมีระวางโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป จึงไม่อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 และไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์เสียก่อน ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 317 วรรคแรกได้
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากเด็กหญิง ณ. ไปโดยมีเจตนาเพื่อการอนาจาร การที่จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิง ณ. หลังจากนั้น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ทั้งจำเลยพรากเด็กหญิง ณ. ไปเพื่อการอนาจารถึง 2 ครั้ง ต่างวันเวลากัน และกระทำอนาจารเด็กหญิง ณ. หลังจากนั้นอีก 2 ครั้งจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ ก. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยได้พรากเด็กหญิงณภาพรรณ สมภา อายุ 13 ปี 8 เดือน (เกิดวันที่ 19 เมษายน2529) ไปเสียจากความปกครองของนายอุดม สมภา ผู้เป็นบิดา เพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควร ข. ภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ก. แล้ว จำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงณภาพรรณ ผู้เสียหายโดยใช้กำลังกายกอดปล้ำ หอมแก้ม และจับบีบกำนมของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม อันเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายและโดยที่ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ค. ภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ข. แล้ว จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายโดยบังคับให้ผู้เสียหายอยู่แต่ภายในห้องพัก อันเป็นการทำให้ผู้เสียหายต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ง. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2542 เวลากลางวันและกลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยได้พรากผู้เสียหายไปเสียจากความปกครองของนายอุดม สมภาผู้เป็นบิดาเพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควร จ. ภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ง.แล้วจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยใช้กำลังกายกอดปล้ำ หอมแก้มและบีบกำนมของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมอันเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายและโดยที่ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ฉ. ภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวในฟ้อง จ. แล้ว จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายโดยบังคับให้ผู้เสียหายอยู่แต่ภายในห้องพัก อันเป็นการทำให้ผู้เสียหายต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลโพนทอง กิ่งอำเภอสีดา และตำบลบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279, 310, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 317 วรรคแรก ให้เรียงกระลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจาร จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุกกระทงละ 1 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือกระทงแรก จำคุก 2 ปี กระทงที่สองจำคุก 1 ปี กระทงที่สาม จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก ให้ยกฟ้อง คงลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์และฐานอนาจารรวมจำคุก 5 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีในฐานความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ฎีกา ฟ้องโจทก์ในฐานความผิดดังกล่าว จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ ข้อ 1 ก. โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจพรากเด็กหญิงณภาพรรณไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ซึ่งคำฟ้องดังกล่าวเป็นการขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่ทำการสืบพยานโจทก์ก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่าตามฟ้องโจทก์ ข้อ 1 ก. และข้อ 1 ง. แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยพรากเด็กหญิงณภาพรรณ สมภา อายุ 13 ปี 8 เดือน ซึ่งอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากความปกครองดูแลของนายอุดม สมภา ผู้เป็นบิดา เพื่อการอนาจารต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามก็ตาม แต่ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุด้วยว่าโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าววรรคใด และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก ซึ่งมีระวางโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป จึงไม่อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 และศาลไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์เสียก่อน ศาลล่างทั้งสองจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 317 วรรคแรกได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 1 ง. ถึงข้อ 1 ฉ. อีกไม่ได้ เพราะการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ก. และข้อ 1 ง. ว่า จำเลยได้พรากเด็กหญิงณภาพรรณผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากนายอุดม สมภา ผู้ปกครองเพื่อการอนาจารต่างวันเวลากัน หลังจากจำเลยกระทำผิดดังกล่าวแต่ละข้อแล้ว จำเลยได้บังอาจกระทำอนาจารเด็กหญิงณภาพรรณโดยใช้กำลังกายกอดปล้ำหอมแก้ม และใช้มือบีบจับนม ของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมอันเป็นการบรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยได้กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ทั้งความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารนั้น เป็นความผิดสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากเด็กหญิงณภาพรรณ ไปโดยมีเจตนาเพื่อการอนาจาร ดังนั้นการที่จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิงณภาพรรณผู้เสียหายหลังจากนั้น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารดังกล่าว ทั้งจำเลยพรากเด็กหญิงณภาพรรณไปเพื่อการอนาจารถึง 2 ครั้ง ต่างวันเวลากัน และกระทำอนาจารเด็กหญิงณภาพรรณผู้เสียหายหลังจากนั้นอีก 2 ครั้ง ตามคำฟ้องโจทก์ข้อ 1 ก. ถึง ข้อ 1 ข. และข้อ 1 ง. ถึง ข้อ 1 จ. การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 หาใช่เป็นการกระทำผิดที่เป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้วได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนนี้จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน