แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยนำบ้านของผู้อื่นมาขายให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย โจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนมีสาระสำคัญว่าสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวล้มเลิก และจำเลยจะคืนเงินค่าซื้อบ้านให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์แจ้งความเท็จกล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์ ซึ่งข้อสาระสำคัญไม่ตรงกับข้อความที่โจทก์แจ้งไว้เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับกุมดำเนินคดี ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำฟ้องบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำความผิดไว้พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแม้ไม่แนบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจมาด้วย ก็ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ และทำให้โจทก์เสื่อมเสียอิสรภาพในร่างกายและจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 310, 311 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับรับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 จำคุก 1 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2526 จำเลยนำบ้านเลขที่ 131/1187 เขตบางขุนเทียนของนายแพทย์ไชยฤทธิ์ซึ่งเช่าซื้อจากการเคหะแห่งชาติไปขายให้โจทก์ และจำเลยรับเงินบางส่วนไปจากโจทก์แล้วต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2527 โจทก์ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีรณศิลป์ ภู่สาระพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร เป็นสาระสำคัญว่าสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวล้มเลิก และจำเลยจะคืนเงินค่าซื้อให้แก่โจทก์ ปรากฏตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมายจ. 1 และในวันที่ 18 มิถุนายน 2527 จำเลยไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทเฉลิมชัย วงศ์เจียม กล่าวหาว่าโจทก์แจ้งความเท็จ มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือไม่ โจทก์มีพยานเอกสารรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจหมาย จ. 1 มีใจความที่เป็นสาระสำคัญว่าโจทก์ตกลงซื้อบ้านเลขที่ 131/1187 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร จากจำเลย โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยไปแล้ว 55,600บาท แต่สัญญาซื้อขายล้มเลิก จำเลยยินดีจะคืนเงินดังกล่าวให้ซึ่งโจทก์เบิกความว่า จำเลยขายบ้านดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ตกลงขายผ่อนส่งกันในราคาวันละ 150 บาท ซึ่งจำเลยมิได้โต้เถียงอย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยอ้างเท็จต่อโจทก์ในการขายบ้านนั้น เนื่องจากบ้านดังกล่าวมิใช่ของจำเลย ทั้งต่อมาโจทก์ได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าซื้อบ้านนั้นจากนายแพทย์ไชยฤทธิ์แล้ว ดังนั้นการที่โจทก์ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีรณศิลป์ภู่สาระ ดังกล่าว ก็เนื่องจากโจทก์เห็นว่าจำเลยนำบ้านคนอื่นมาขายให้โจทก์โดยจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้นได้ และโจทก์ได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าซื้อจากเจ้าของบ้านที่แท้จริงแล้ว โจทก์จึงไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลักฐานไว้ เป็นการใช้สิทธิของโจทก์โดยชอบ และมิได้เป็นความเท็จดังที่จำเลยนำความไปแจ้งต่อร้อยตำรวจโทเฉลิมชัย วงศ์เจียมซึ่งร้อยตำรวจโทเฉลิมชัยเบิกความว่า จำเลยได้แจ้งความว่าโจทก์แจ้งความไว้ว่าจำเลยได้ฉ้อโกงโจทก์โดยรับชำระเงินค่าผ่อนบ้านแล้วไม่นำไปให้การเคหะแห่งชาติโดยจำเลยนำไปใช้เสียเอง เป็นที่เห็นได้ว่าข้อสาระสำคัญที่จำเลยแจ้งดังกล่าวไม่ตรงกับที่โจทก์ได้แจ้งความไว้ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ. 1 ดังนั้นไม่ว่าจำเลยจะได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อบ้านให้แก่การเคหะแห่งชาติหรือไม่ก็มิใช่เรื่องที่โจทก์ได้แจ้งความไว้ หากแต่เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นเองที่จำเลยฎีกาว่า ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมายจ. 2 เป็นการแจ้งความของร้อยตำรวจตรีรณศิลป์ต่อร้อยตำรวจโทเฉลิมชัยกล่าวหาว่าโจทก์ได้มาแจ้งความเท็จต่อตน ไม่มีข้อความใดระบุว่าจำเลยเป็นคนแจ้งต่อร้อยตำรวจโทเฉลิมชัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า ร้อยตำรวจโทเฉลิมชัยพยานจำเลยเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ไปแจ้งความต่อพยานพยานสอบสวนแล้ว จึงได้ไปจับกุมโจทก์มาดำเนินคดี ดังนั้นแม้เอกสารหมาย จ. 2 จะมิได้ระบุว่าจำเลยเป็นผู้แจ้งก็ตามแต่มูลเหตุที่ทำให้โจทก์ถูกดำเนินคดี ก็เกิดจากการแจ้งความของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จซึ่งทำให้โจทก์เสียหาย ฎีกาของจำเลยไม่มีเหตุผลที่จะทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่แนบเอกสารหมาย จ. 2 มาท้ายฟ้องนั้น เห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ได้ เรื่องนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าจำเลยไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทเฉลิมชัยว่าอย่างไร ซึ่งความจริงเป็นอย่างไรฟ้องโจทก์ได้ระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดไว้พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ไม่จำต้องแนบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีตามเอกสารหมาย จ. 2 มาด้วยเพราะเป็นรายละเอียดและหลักฐานที่จะนำสืบกันในชั้นพิจารณา และที่จำเลยฎีกาขอให้ลดหย่อนโทษและรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ปรากฏ ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข…’
พิพากษายืน.