แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตาม ประมวลรัษฎากรฉบับที่ 18 พ.ศ.2504 ในขณะนั้นสินค้าสำเร็จรูปไม่ว่าจะนำเข้ามาผลิตสินค้าอื่นหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นผู้ขาย และเสียภาษีการค้าในวันนำเข้า
ส่วนประกอบหรืออุปกรณ์เครื่องจักรที่นำเข้ามาเพื่อใช้ทดแทนของเก่าที่ชำรุด ไม่ใช่สินค้าที่ยกเว้นภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 14 พ.ศ.2508มาตรา 4
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายวา “ข้อเท็จจริงรับฟังได้จากที่คู่ความนำสืบและโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งว่า บริษัทโจทก์ประกอบการค้าโดยทำการผลิตซึ่งผลิตภัณฑ์ทุกชนิดเกี่ยวกับคอนกรีต มีคอนกรีตอัดแรง คอนกรีตเสริมเหล็กเช่น เสาเข็ม เสาไฟฟ้า คานสะพาน ท่อคอนกรีต เพื่อจำหน่าย ระหว่างเดือนธันวาคม 2504 ถึงเดือนกันยายน 2506 กับเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคมและกรกฎาคม 2508 โจทก์ได้นำสินค้าสำเร็จรูปคือลวดเหล็กกำลังสูง เหล็กท่อนและเหล็กเส้น ลวดที่ทำด้วยโลหะผสม เหล็กกล้า เส้นลวด และลวดเหล็กขนาดต่าง ๆ เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าดังกล่าวของโจทก์และโจทก์ยังได้นำสินค้าท่อและหลอดทำด้วยยางแข็ง วงแหวนและประเก็นยางเสื้อกระบอกสูบ สวิทซ์ไฟฟ้า เพลากำลัง อันเป็นอุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องชั่งส่วนผสมคอนกรีตกับอุปกรณ์เครื่องทำท่อซีเมนต์เข้ามาในราชอาณาจักรอีกด้วย เพื่อใช้แทนส่วนที่ชำรุดเสียหายของเครื่องจักร ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าดังกล่าว เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าสินค้ารายพิพาทต้องเสียภาษีการค้า จึงประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าตามเอกสารหมาย จ.2, จ.3, จ.4 และ จ.5 โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามเอกสารหมาย จ.6, จ.7, จ.8 และ จ.9 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ ลดภาษีการค้า ลดเบี้ยปรับเงินเพิ่มคงเรียกเก็บภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่มและภาษีเทศบาลรวมเป็นเงิน 732,594บาท 92 สตางค์ โจทก์ไม่พอใจในคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงฟ้องเป็นคดีนี้
มีปัญหาข้อแรกว่า ลวดเหล็กกำลังสูง เหล็กท่อน เหล็กเส้น ลวดที่ทำด้วยโลหะผสมเหล็กกล้า เส้นลวด และลวดเหล็กขนาดต่าง ๆ อันเป็นสินค้าสำเร็จรูปซึ่งโจทก์สั่งเข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าของโจทก์ จะต้องเสียภาษีการค้าตามบทกฎหมายในประมวลรัษฎากรหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้ พิเคราะห์แล้วในพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 77 ยังบัญญัติคำจำกัดความ คำว่าสินค้าสำเร็จรูปและในบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 1 ชนิด 9 ก็ยังบัญญัติถึงสินค้าที่มิใช่สินค้าสำเร็จรูปอยู่ อันเป็นการแสดงว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายขณะนั้นต้องการเก็บภาษีการค้าสินค้าสำเร็จรูปและสินค้าที่มิใช่สินค้าสำเร็จรูปแตกต่างจากกัน กล่าวคือ หากสินค้าที่นำเข้าเป็นสินค้าที่มิใช่สินค้าเสียภาษีการค้าสำเร็จรูป และกรณีต้องด้วยบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 1 ชนิด 9ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้านั้น แต่ถ้านำเข้ามาเป็นวัตถุดิบผลิตเพื่อขายแล้วไม่ต้องเสียภาษีการค้า ส่วนสินค้าที่นำเข้ามาเป็นสินค้าสำเร็จรูปจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าทุกกรณีไม่ว่าจะนำเข้ามาเพื่อการใด ๆ ดังนั้นคดีนี้จึงเห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้สั่งสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อขาย แต่สั่งเข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าของโจทก์ก็ตาม ก็ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ที่มาตรา 78 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 2) ข้อ 3 ให้ถือว่าเป็นผู้ประกอบการค้า จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าซึ่งสินค้าที่สั่งนำเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น สินค้ารายพิพาทเป็นสินค้าสำเร็จรูป เข้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1 ก. โจทก์จึงมีหรือหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 5 ของรายรับ แม้โจทก์ยังไม่ได้ขายสินค้านี้ ตามมาตรานี้ 79(6) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 3) ที่ออกตามอำนาจในมาตรา 79(6) ให้ถือว่าโจทก์ได้ขายสินค้าในวันนำเข้ามาในราชอาณาจักร และรายรับหมายความว่ามูลค่าของสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักร ที่โจทก์อ้างคำพิพากษาฎีกามาสนับสนุนว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้านั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงในคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวไม่ตรงกับคดีนี้กล่าวคือ คำพิพากษาฎีกาที่ 1606/2512 สินค้าที่นำเข้ามานั้นมิใช่สินค้าสำเร็จรูป และคำพิพากษาฎีกา 2807/2515 เป็นการวินิจฉัยถึงการนำสินค้าเข้าภายหลังที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 มาตรา 77 คำจำกัดความคำว่าสินค้าสำเร็จรูป และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 1 ชนิด 9 ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 แล้ว จึงจะนำมาปรับกับคดีนี้หาได้ไม่ โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งโจทก์สั่งเข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าของโจทก์
มีปัญหาต่อไปว่าสินค้าท่อและหลอดทำด้วยยางแข็ง วงแหวนและประเก็นยาง เสื้อกระบอกสูบ สวิทซ์ไฟฟ้าและเพลากำลังอันเป็นอุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องชั่งส่วนผสมคอนกรีตกับอุปกรณ์เครื่องทำท่อซีเมนต์ จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2508 มาตรา 4 หรือไม่ เห็นว่าเครื่องจักรพร้อมทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักรของโจทก์นั้นทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรทำการใช้งานผลิตสินค้าอยู่ก่อนแล้วส่วนสินค้ารายพิพาทที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งนี้ มิใช่ส่วนประกอบหรืออุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้อยู่ แต่เป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ที่สั่งเข้ามาภายหลังเพื่อใช้ทดแทนของเก่าที่ชำรุด จึงหาใช่สินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษีตามความหมายของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวข้างต้นไม่ โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมา
ที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลงดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้น เห็นว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ลดเบี้ยปรับให้ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายและลดภาษีบำรุงเทศบาลให้ตามส่วนของเบี้ยปรับที่ลดลง จำนวนที่ลดให้ดังกล่าวเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว”
พิพากษายืน