คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะชักชวนเด็กหญิงทั้งสามอายุไม่เกิน 13 ปี และเกิน13 ปี ให้ไปกับจำเลยเด็กหญิงทั้งสามไม่ได้อยู่ในความปกครองดูแลของมารดาเสียแล้ว โดยนัดแนะกันหลบหนีมารดาออกจากบ้านเพื่อไปหางานทำ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการพรากเด็กหญิงทั้งสามไปเสียจากบิดามารดา ไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317,318
การที่จำเลยชักชวนเด็กหญิงทั้งสามไปอยู่ด้วยอ้างว่าจะหัดลิเกให้แต่ก็มิได้หัดให้ กลับจะให้ค้าประเวณี โดยขู่ว่าถ้าไม่ยอมจะส่งไปต่างจังหวัดจนเด็กหญิงคนหนึ่งจำต้องยอมไปกับชายและชายนั้นพยายามจะกระทำมิดีมิร้ายในระหว่างทาง ดังนี้ จำเลยกระทำการเป็นธุระจัดหาหรือชักพาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเพื่อการอนาจาร เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม, 317 วรรคท้ายและ 318 วรรคท้าย ลงโทษตามมาตรา 283 วรรคสาม จำคุก 2 ปี กระทงหนึ่งและลงโทษตามมาตรา 317 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 2 ปี อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คงมีปัญหาในชั้นฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 2ว่าได้กระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ สำหรับข้อหาฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317, 318 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เด็กหญิงยุพิน เด็กหญิงพิมพ์ และเด็กหญิงราตรีได้นัดแนะกันหลบหนีมารดาของตนออกจากบ้านเพื่อมาหางานทำ ขณะมาพักค้างคืนที่โรงแรมโพธิ์ทองได้พบกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงชักชวนเด็กหญิงทั้งสามไปเช่าบ้านอยู่กับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าจะหัดลิเกให้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า ขณะจำเลยที่ 2ชักชวนเด็กหญิงทั้งสามให้ไปกับจำเลยที่ 2 นั้น เด็กหญิงทั้งสามมิได้อยู่ในความปกครองดูแลของมารดาเสียแล้วโดยนัดแนะกันหลบหนีมารดาออกจากบ้านเพื่อไปหางานทำ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่เป็นการพรากเด็กหญิงทั้งสามไปเสียจากบิดามารดาจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดในข้อหาฐานพรากผู้เยาว์ ฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อหานี้ฟังขึ้น

สำหรับข้อหาฐานเป็นธุระจัดหา ล่อหรือชักพาเด็กหญิงพิมพ์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 นั้น เด็กหญิงยุพินเด็กหญิงพิมพ์และเด็กหญิงราตรีต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ขณะจำเลยที่ 2 พามาพักที่บ้านเช่า จำเลยที่ 2 จะให้เด็กหญิงทั้งสามค้าประเวณีโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยและว่าจะให้ทำเพียงครั้งเดียวพร้อมทั้งขู่ว่าถ้าไม่ยอมจะส่งไปจังหวัดจันทบุรี นอกจากคำเบิกความของเด็กหญิงทั้งสามจะสอดคล้องต้องกันแล้ว น่าเชื่อว่าเด็กหญิงทั้งสามต่างเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิได้ปรักปรำหรือซ้ำเติมจำเลยที่ 2 แต่ประการใดดังจะเห็นได้ว่าทั้งสามต่างเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยพูดขู่ให้ขายตัวจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่พูดขู่ให้ขายตัว แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายหรือกักขัง จะไปไหนก็ไปได้ ดังนั้นคำเบิกความของเด็กหญิงทั้งสามจึงรับฟังได้ การที่จำเลยที่ 2ชักชวนให้เด็กหญิงทั้งสามไปอยู่กับจำเลยโดยอ้างว่าจะหัดลิเกให้ แต่ก็มิได้หัดลิเกให้อย่างที่อ้าง กลับจะให้เด็กหญิงทั้งสามค้าประเวณีโดยขู่ว่าถ้าไม่ยอมจะส่งไปจังหวัดจันทบุรี จนกระทั่งเด็กหญิงพิมพ์จำต้องยอมไปกับชายคนหนึ่งและถูกชายผู้นั้นพยายามจะกระทำมิดีมิร้ายในระหว่างทางย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำการเป็นธุระจัดหาหรือชักพาเด็กหญิงอายุไม่เกิน13 ปีไปเพื่อการอนาจารเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2514) ข้อ 10 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อหานี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เฉพาะในข้อหาพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317, 318 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share