แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กรมที่ดินจ้าง ป.เป็นลูกจ้างชั่วคราว และนายอำเภอมีคำสั่งแต่งตั้ง ป.ให้ปฏิบัติหน้าที่พิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดิน ป.จึงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 จำเลยซื้อที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) อยู่แล้วจำเลยได้ไปขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศสำหรับที่ดินนั้นอีก โดยแจ้งต่อป. เจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวนว่าที่ดินดังกล่าวยังไม่เคยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาก่อน จนทางราชการออก น.ส.3 ก. ให้จำเลย แต่ในที่สุดผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งเพิกถอนเพราะเหตุจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังนี้ เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จำเลยอายุมากแล้วจำคุก1 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินของจำเลย 1 แปลงตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรองจังหวัดบุรีรัมย์ มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แล้วปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาในวันเวลาเกิดเหตุจำเลยขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศสำหรับที่ดินนั้นให้แก่จำเลยอีก โดยจำเลยแจ้งต่อนางสาวปานจิตเจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวนว่าที่ดินแปลงดังกล่าวยังไม่เคยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาก่อนทางราชการจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ให้แก่จำเลยปรากฏตามเอกสารหมายจ.5, จ.6, จ.7 คดีมีปัญหาว่าการที่จำเลยแจ้งต่อนางสาวปานจิตดังกล่าวเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่
ในเบื้องแรกสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่านางสาวปานจิตเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนางประพิศ ศิริ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนางรองในขณะเกิดเหตุว่า ในการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศนั้นมีเจ้าหน้าที่ไม่พอแก่การปฏิบัติงานกรมที่ดินได้จ้างบุคคลภายนอกเป็นลูกจ้างชั่วคราวปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานนางสาวปานจิตเป็นลูกจ้าง ซึ่งนายอำเภอนางรองมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นั้นแล้ว ตามข้อเท็จจริงที่นายอำเภอนางรองมีคำสั่งแต่งตั้งนางสาวปานจิตให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58ซึ่งบัญญัติให้นายอำเภอแต่งตั้งผู้ได้รับการอบรมเป็นเจ้าหน้าที่ออกไปพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินได้ และให้เจ้าหน้าที่นั้นเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ นางสาวปานจิตจึงเป็นเจ้าพนักงานตามที่กฎหมายบัญญัติ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยมีที่ดินรวม 15 แปลง แต่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เพียงหนึ่งหรือสองแปลงเท่านั้นจำเลยแจ้งข้อความดังกล่าวต่อนางสาวปานจิตด้วยความหลงลืม จำเลยไม่มีเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้น เห็นว่า จำเลยเคยเป็นครูใหญ่ สมาชิกสภาเทศบาลเทศมนตรี สมาชิกและรองประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์มาก่อน ส่วนที่ดินแปลงที่จำเลยแจ้งต่อนางสาวปานจิตขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศนั้นปรากฏว่า เดิมเป็นที่ดินของนางหุ่น จรเข้ มีหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) อยู่แล้ว ตามเอกสารหมายจ.1 ซึ่งปรากฏรายการจดทะเบียนด้านหลังว่า วันที่ 10 กรกฎาคม 2512นางหุ่น จรเข้ ขายที่ดินนั้นทั้งแปลงแก่จำเลย วันที่6 พฤษภาคม 2518 จำเลยแบ่งเวนคืนให้กรมทางหลวงเพื่อใช้เป็นทางสายโชคชัย-เดชอุดม เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 28 ตารางวาต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2523 จำเลยแจ้งข้อความตามฟ้องแก่นางสาวปานจิตและนำนายอุดม ทิพย์อาสน์ ผู้กำกับงานสนามทำการสำรวจรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศ ครั้นทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) ให้จำเลยตามเอกสารหมาย จ.5, จ.6, จ.7แล้ว จำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.7 ไปจำนองไว้กับธนาคาร ต่อมาวันที่15 กรกฎาคม 2525 จำเลยแบ่งขายที่ดินดังกล่าวแก่เรือตรีบุญธรรมโดยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ฉบับเดิมตามเอกสารหมาย จ.1 ไปให้เจ้าพนักงานจดทะเบียนแบ่งแยก และใน พ.ศ. 2526 จำเลยแบ่งขายที่ดินนั้นแก่เรือตรีบุญธรรมอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามเอกสารหมาย จ.1 ไปให้เจ้าหน้าที่ทำการจดทะเบียน เจ้าหน้าที่จึงตรวจพบว่าจำเลยแจ้งข้อความต่อนางสาวปานจิตไม่ตรงกับความเป็นจริงตามฐานะและพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว จำเลยเคยรับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ และเคยดำเนินการทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย จ.1มาก่อนเกิดเหตุคดีนี้หลายครั้ง ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศและแจ้งต่อนางสาวปานจิตว่าเป็นที่ดินที่ไม่เคยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาก่อน เพราะความหลงลืมจึงเชื่อไม่ได้ ตามข้อเท็จจริงข้างต้นเชื่อว่าจำเลยแจ้งข้อความดังกล่าวต่อนางสาวปานจิตโดยรู้ว่าเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าการที่จำเลยแจ้งข้อความดังกล่าวต่อนางสาวปานจิตจนทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.6, จ.7ให้จำเลย ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ได้สั่งเพิกถอนแล้วจึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายนั้น เห็นว่าการที่นางสาวปานจิตและเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการไปตามคำขอของจำเลยจนทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.6, จ.7 ให้จำเลยแต่ในที่สุดผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ต้องสั่งเพิกถอนก็เพราะเหตุจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ดังนี้เห็นได้ว่าเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น