คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) เดิมจำเลยทำงานอยู่ที่แห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี และโจทก์ได้ฟ้องอ้างถิ่นที่อยู่แห่งนี้และเจ้าพนักงานศาลก็นำหมายเรียกและสำเนาฟ้องส่งแก่จำเลย ณ ที่นี้และพบจำเลยๆ ไม่ยอมรับเจ้าพนักงานจึงวางหมายไว้ถือว่าได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยชอบแล้ว ถึงแม้จะปรากฏว่าจำเลยได้ย้ายไปทำงานอยู่อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรีแต่จำเลยหาได้ย้ายทะเบียนและครอบครัวไปไม่ ยังคงกินอยู่หลับนอนอยู่ที่เดิม
(2) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 นั้นจำเลยไม่มีสิทธิอ้างพยานเอกสารมาสืบ
(3) ถึงแม้จะปรากฏว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยว่าก็ตามแต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลยเพราะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรด้วยกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกการครอบครองที่ดินคืน

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาก่อนนัดพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่รับหมายเพราะมิได้มีภูมิลำเนาตามฟ้อง การส่งหมายตามฟ้องไม่ชอบ

ศาลชั้นต้นไต่สวนจำเลยปากเดียวแล้วสั่งว่า ส่งหมายชอบแล้วพิจารณาต่อไป พิพากษาให้จำเลยแพ้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ไต่สวนและสั่งใหม่แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามฟ้องยกคำร้องและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีและให้ส่งมอบที่ดินแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยปฏิบัติงานอยู่ที่เขตก่อสร้างสุระนารายณ์ อำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรี ก็จริง แต่ถูกย้ายมาทำงานที่เขตก่อสร้างแก่งคอยเมื่อปี พ.ศ. 2503 แม้จะไม่ใช่ย้ายชั่วคราว แต่เจตนาของจำเลยยังคงยึดบ้านพักของจำเลยที่สถานีแก่งเสือเต้น (ตำบลคำพราน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี) เป็นแหล่งภูมิลำเนา ไม่ได้ย้ายทะเบียน และครอบครัว ยังคงกินอยู่หลับนอนที่เดิมเมื่อเจ้าพนักงานศาลนำหมายและสำเนาฟ้องไปส่งให้ที่นี่ก็พบจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับ ฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าการส่งหมายและสำเนาฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้นจึงฟังไม่ขึ้น

ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรค 2 นั้น ให้สิทธิผู้ขาดนัดอ้างตนเองเป็นพยานได้เท่านั้น จะขยายไปถึงการอ้างพยานเอกสารด้วยไม่ได้

อนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยโต้แย้งว่าสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่พิพาทไม่ชอบ เพราะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ดังที่จำเลยกล่าว แต่คดีนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ครอบครองที่นี้อยู่ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย

Share