คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5811/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ ช. ขับรถจักรยานยนต์ไปและใช้อาวุธปืนยิง ส. ถึงแก่ความตายแล้วขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปนั้น นอกจากอาวุธปืนซึ่งเป็นทรัพย์ที่ ช. ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงและถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีแล้วรถจักรยานยนต์ของกลางที่ ช. ใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิง ส. และหลบหนีก็เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงเช่นกัน และเป็นพยานหลักฐานสำคัญอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถใช้พิสูจน์การกระทำความผิดของ ช. ได้หากมีพยานบุคคลมาพบเห็นการกระทำความผิดดังกล่าว และจดจำลักษณะของรถจักรยานยนต์ของกลางที่ ช. ขับได้ ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการสืบสวนสอบสวนนำไปสู่การติดตามจับกุมตัว ช. มาลงโทษได้ ดังนั้น การที่จำเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 184

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยเจตนาเพื่อจะช่วยนายชูชาติ แซ่จัง ผู้ต้องหากับพวกมิให้ต้องรับโทษหรือได้รับโทษน้อยลงโดยจำเลยทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่นายชูชาติกับพวกใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิงนายสรวุฒิ สมานประธาน ถึงแก่ความตายและหลบหนีให้พ้นจากการจับกุม ซึ่งเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยการนำรถคันดังกล่าวไปซุกซ่อนเพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางในคดีดังกล่าวได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2543 เวลา 03.45 นาฬิกา นายชูชาติใช้อาวุธปืนยิงนายสรวุฒิ ถึงแก่ความตายที่ตำบลท่าระหัด อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันเดียวกันเวลาประมาณ 18 นาฬิกา นายชูชาตินำรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิงผู้ตายและหลบหนีไปมอบให้แก่จำเลยที่บ้านของจำเลยที่ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี แล้วจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจอดเก็บไว้ภายในบ้านของนายสม วังกุ่ม ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายชูชาติและติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้จากบ้านของนายสม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีไพโรจน์ คุ้มภัย และร้อยตำรวจโทพรม แก้วพลายตา ผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากพยานทั้งสองจับกุมนายชูชาติได้ตามสำเนาบันทึกการจับกุม นายชูชาติให้การรับว่าได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะไปยิงผู้ตาย จากนั้นขับหลบหนีไปพบจำเลยและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จำเลยทราบพร้อมทั้งขอร้องให้จำเลยช่วยเหลือจำเลยรับว่าจะช่วยเหลือโดยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปซุกซ่อนให้ พยานทั้งสองจึงติดตามไปสอบถามจำเลยที่บ้านของจำเลย ในเบื้องต้นจำเลยปฏิเสธหลายครั้งว่าไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่เมื่อพยานทั้งสองแจ้งว่านายชูชาติถูกจับกุมแล้ว จำเลยจึงยอมรับว่าได้รับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนายชูชาติและอ้างว่านำไปจำนำไว้แก่นายสมในราคา 1,500 บาท พยานทั้งสองให้จำเลยพาไปที่บ้านของนายสม เมื่อไปถึงพบนายสมอยู่ที่บ้าน สอบถามนายสมได้ความว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางมาขอฝากไว้กับตน นายสมจึงให้จำเลยนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้านโดยจำเลยได้นำผ้ามาคลุมรถไว้ จากนั้นนายสมพาพยานทั้งสองเข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน พบรถจักรยานยนต์ของกลางจอดอยู่โดยมีผ้าคลุมไว้อย่างมิดชิด เมื่อสอบถามถึงกุญแจรถจำเลยกับนายสมต่างปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด พยานทั้งสองจึงจับกุมจำเลยและยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ตามบันทึกการจับกุม โจทก์ยังมีนายสม วังกุ่ม เป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปหาพยานที่บ้านและพูดฝากรถไว้กับพยาน พยานรับฝากไว้โดยให้จำเลยนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้านและลูกสาวของพยานได้นำผ้าขนหนูมาคลุมรถไว้ โดยพยานไม่ได้รับจำนำรถไว้จากจำเลยแต่อย่างใด ซึ่งในชั้นสอบสวนพยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้ตามบันทึกคำให้การของพยาน เห็นว่า พันตำรวจตรีไพโรจน์และร้อยตำรวจโทพรมพยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ และไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความและสร้างพยานหลักฐานขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความและจัดทำเอกสารต่างๆ ขึ้นตามความเป็นจริงการที่พยานโจทก์ทั้งสองติดตามไปยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้จากบ้านนายสมก็สืบเนื่องมาจากพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกจับกุมนายชูชาติซึ่งเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายได้และสอบถามนายชูชาติได้ความว่า หลังจากกระทำความผิดนายชูชาติได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขับไปกระทำความผิดและหลบหนีไปฝากจำเลยไว้ แต่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองติดตามไปสอบถามจำเลยในเบื้องต้นแทนที่จำเลยจะแจ้งให้พยานโจทก์ทั้งสองทราบแต่โดยดีว่านายชูชาติได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางมามอบให้แก่จำเลยไว้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน แต่จำเลยกลับบ่ายเบี่ยงปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวกับรถคันดังกล่าว จนกระทั่งพยานโจทก์ทั้งสองแจ้งว่านายชูชาติถูกจับกุมแล้ว จำเลยจึงยอมรับว่านายชูชาตินำรถมามอบให้จำเลยไว้และอ้างว่านำรถไปจำนำไว้แก่นายสม แต่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองติดตามไปสอบถามนายสม นายสมกลับปฏิเสธว่าจำเลยเพียงแต่นำรถมาฝากไว้กับตนเท่านั้นมิได้นำมาจำนำไว้ อันเป็นการขัดแย้งกับข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวซึ่งนับว่าเป็นข้อพิรุธของจำเลยอย่างยิ่ง ส่วนที่นายสมเบิกความอ้างว่า เมื่อนายสมรับฝากรถไว้ได้ให้จำเลยนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้านของนายสมและบุตรสาวของนายสมเป็นผู้นำผ้าขนหนูมาคลุมรถไว้ โดยจำเลยมอบกุญแจรถให้ด้วยนั้นก็ขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสม ซึ่งระบุว่าจำเลยเป็นผู้นำผ้าขนหนูมาคลุมรถไว้ด้วยตนเองและเอากุญแจรถไปด้วย โดยนายสมได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนในวันเดียวกับที่เจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้และไม่ปรากฏว่านายสมได้ให้การโดยถูกบังคับ ขู่เข็ญหรือล่อลวงแต่ประการใดจึงเชื่อว่านายสมได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามความเป็นจริง จึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางเข้าไปจอดเก็บไว้ภายในบ้านของนายสมและใช้ผ้าคลุมปกปิดรถไว้ด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวข้างต้นประกอบกับรายละเอียดในสำเนาบันทึกการจับกุมนายชูชาติ ซึ่งระบุว่านายชูชาติได้แจ้งเรื่องที่ตนนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปกระทำความผิดมาให้จำเลยทราบแล้วก่อนที่จำเลยจะรับฝากรถและนำไปซุกซ่อนไว้ การที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปเก็บไว้ภายในบ้านของนายสมและใช้ผ้าคลุมปกปิดรถไว้อย่างมิดชิดนั้น ก็เพื่อซ่อมเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้มิให้ผู้อื่นพบเห็น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงสอดคล้องต้องกันและมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยรับฝากรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนายชูชาติโดยทราบดีว่านายชูชาติใช้รถคันดังกล่าวเป็นยานพาหนะไปยิงผู้ตายและหลบหนี แล้วจำเลยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ เพื่อจะช่วยนายชูชาติมิให้ต้องรับโทษตามที่นายชูชาติขอร้องให้ช่วยเหลือ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยนำสืบว่านายชูชาตินำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจำนำไว้แก่จำเลยในราคา 1,500 บาท โดยได้มอบรถจักรยานยนต์ ใบคู่มือจดทะเบียน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยไว้และไม่ได้บอกจำเลยว่าได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไปกระทำความผิดมา ซึ่งจำเลยมีนายชูชาติมาเบิกความเป็นพยานด้วยนั้น เห็นว่า ในข้อนี้ได้ความจากพันตำรวจตรีประสาน หอมชื่น พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยไม่ได้แจ้งแก่พยานว่าในการรับจำนำรถดังกล่าวนายชูชาติได้มอบสัญญากู้เงินและใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่จำเลยไว้ ซึ่งหากมีการมอบให้แก่จำเลยไว้แต่แรก จำเลยก็น่าจะนำมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นพยานหลักฐานยืนยันตามข้ออ้างของตน ทั้งจำเลยกับนายชูชาติก็เป็นเพื่อนบ้านกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี ประกอบกับจำนวนเงินที่จำเลยอ้างว่ารับจำนำรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ก็ไม่สูงนัก จึงไม่น่าเชื่อว่าจะมีการจัดทำเอกสารต่างๆ มอบให้แก่กันไว้ดังที่จำเลยอ้าง พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่สมเหตุสมผลและไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่ใช้เดินทางไปมามิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่ใช่พยานหลักฐานในการกระทำความผิด การที่จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 นั้น เห็นว่า การที่นายชูชาติขับรถจักรยานยนต์ไปและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปนั้น นอกจากอาวุธปืนซึ่งเป็นทรัพย์ที่นายชูชาติใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงและถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีแล้ว รถจักรยานยนต์ของกลางที่นายชูชาติใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิงผู้ตายและหลบหนี ก็เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงเช่นนั้น และเป็นพยานหลักฐานสำคัญอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถใช้พิสูนจ์การกระทำความผิดของนายชูชาติได้หากมีพยานบุคคลมาพบเห็นการกระทำความผิดดังกล่าวและจดจำลักษณะของรถจักรยานยนต์ของกลางที่นายชูชาติขับได้ ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการสืบสวนสอบสวนนำไปสู่การติดตามจับกุมตัวนายชูชาติมาลงโทษได้ ดังนั้นการที่จำเลยช่วยซ่อมเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า นายชูชาติกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นคดีร้ายแรงมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต การที่จำเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของนายชูชาติ โดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือมิให้นายชูชาติได้รับโทษและถูกจับกุมดำเนินคดีนั้น นับว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้กระทำความผิดอาจไม่ต้องรับโทษในความผิดที่ได้กระทำลงซึ่งก่อให้เกิดความไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย และกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวมพฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้คดีตลอดมา อันเป็นการไม่รู้สึกสำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงอีกด้วย แม้จำเลยจะฎีกาอ้างว่าจำเลยมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูมารดากับบุตร และจำเลยกับบุตรเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงด้วยนั้น กรณีก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share