แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันเป็นบุคคลสิทธิซึ่งจำเลยเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับเอาแก่โจทก์ผู้ค้ำประกันเมื่อ ป. ลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ และเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของโจทก์ผู้ค้ำประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น แตกต่างไปจากสิทธิตามสัญญาจำนองที่ทำขึ้นเพื่อประกันหนี้เงินกู้ของโจทก์ที่ได้ทำขึ้นในภายหลังและไม่ได้มีข้อความระบุว่าต้องให้โจทก์รับผิดรวมไปถึงความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วย ประกอบกับโจทก์กู้เงินจำเลยเพื่อนำไปซื้อห้องชุดพิพาทแล้วนำมาจำนองไว้แก่จำเลย แสดงว่าโจทก์มีเจตนาจดทะเบียนจำนองห้องชุดพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของโจทก์ที่มีแก่จำเลยเท่านั้น ดังนั้น สัญญาค้ำประกันจึงแยกต่างหากจากสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง นอกจากนี้ขณะที่โจทก์ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยครบถ้วน จำเลยยังไม่ได้ฟ้องโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ความรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาค้ำประกันจึงยังไม่เกิดขึ้น เมื่อหนี้เงินกู้ของโจทก์อันเป็นหนี้ประธานได้ระงับไปและโจทก์ผู้จำนองแสดงความจำนงไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยจะไม่ยอมให้ไถ่ถอนโดยอ้างว่าโจทก์ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันอยู่อีกหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนจำนองห้องชุดไว้แก่จำเลยและผ่อนชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเพื่อไถ่ถอนจำนองห้องชุดดังกล่าวแก่จำเลยจนครบถ้วนแล้ว ซึ่งจำเลยแจ้งว่าจะคืนโฉนดพร้อมหนังสือการไถ่ถอนจำนองให้โจทก์ไปดำเนินการเอง ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดดังกล่าวกับบุคคลภายนอก โดยกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์กันไว้แล้ว แต่จำเลยดำเนินการล่าช้า โจทก์จึงมอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลย แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เนื่องจากโจทก์ต้องตกเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดดังกล่าวและถูกผู้จะซื้อกล่าวหาว่าโจทก์ฉ้อโกงผู้จะซื้อ ซึ่งโจทก์ต้องคืนเงินค่ามัดจำและเสียค่าปรับให้แก่ผู้จะซื้อรวมเป็นเงินจำนวน 10,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 17/20 ชั้น 11 อาคารเลขที่ 17/1 ชื่ออาคารชุดบ้านกินนอน คอนโดมิเนียม ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2538 โฉนดเลขที่ 5575 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมกับชำระค่าเสียหายจำนวน 10,164,383.60 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อย 15 ต่อปี ของต้นเงินค่าเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองห้องชุดไว้แก่จำเลย แต่ก่อนหน้านั้นโจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของนายปราสพสุข จำนวน 7,000,000 บาท ไว้แก่จำเลยโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตกลงว่าหากโจทก์มีทรัพย์สินใดที่ได้จำนองไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้ของโจทก์เองหรือของบุคคลใด โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำทรัพย์สินนั้นมาชำระหนี้หรือยินยอมให้จำเลยใช้สิทธิยึดหน่วงหรือยับยั้งมิให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองทรัพย์สินนั้นได้ ซึ่งโจทก์ยังมีภาระหนี้สินตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว เพราะนายปราสพสุขกับโจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้จำเลย จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิยึดหน่วงยับยั้งการไถ่ถอนจำนอง จำเลยไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญา จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์ไม่สุจริตสมรู้ร่วมคิดกับนางสาวภาวิณี ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดนั้นขึ้นโดยไม่มีการตกลงจะซื้อจะขายและจ่ายเงินกันจริง โจทก์มิได้เสียหาย จำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างสูงเกินความเป็นจริงมาก เป็นการกำหนดค่าเสียหายตามความพอใจและจัดทำเอกสารขึ้นมาเพื่อให้สมจริงเท่านั้น โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 17/20 ชั้นที่ 11 อาคารเลขที่ 17/1 ชื่ออาคารชุดบ้านกินนอน คอนโดมิเนียม ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2538 โฉนดที่ดินเลขที่ 5575 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยส่งมอบหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวแก่โจทก์และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2537 นายปราสพสุขทำสัญญากู้เงินจากจำเลยจำนวน 7,000,000 บาท มีโจทก์ และนางศิรินลักษณ์ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยนางศิรินลักษณ์นำสิทธิการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานซึ่งตั้งอยู่ที่เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร มาเป็นประกันการชำระหนี้ของนายปราสพสุขตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2538 โจทก์ทำสัญญากู้เงินจากจำเลย จำนวน 8,536,862 บาท เพื่อนำไปซื้อห้องชุดพิพาทเลขที่ 17/20 ชั้น 11 อาคารเลขที่ 17/1 อาคารชุดบ้านกินนอน คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 5575 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และโจทก์ได้นำห้องชุดพิพาทจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้แก่จำเลยตามสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย ล.1 และ จ.3 หรือ ล.2 จากนั้นวันที่ 12 ตุลาคม 2541 โจทก์ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วแต่จำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทคืนแก่โจทก์ เนื่องจากนายปราสพสุขผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลย โดยนายปราสพสุขผ่อนชำระเงินเป็นค่าดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายวันที่ 17 เมษายน 2541 ต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2541 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองคืนแก่โจทก์อีก โดยอ้างสิทธิตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 และวันที่ 14 กันยายน 2542 จำเลยฟ้องนายปราสพสุข โจทก์และนางศิรินลักษณ์ต่อศาลชั้นต้น ให้ร่วมกันชำระต้นเงินที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยคืนจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ย.5301/2542 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีสิทธิไม่ยอมดำเนินการไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 เป็นสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคล อันเป็นบุคคลสิทธิซึ่งจำเลยเจ้าหนี้จะต้องติดตามบังคับเอาแก่โจทก์ผู้ค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ และเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญหามีสิทธิจะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินของโจทก์ผู้ค้ำประกันก่อนเจ้าหนี้อื่นไม่ ซึ่งแตกต่างไปจากสิทธิตามสัญญาจำนองตามหนังสือสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.2 ที่ได้ทำขึ้นในภายหลังและไม่ได้มีข้อความระบุว่าต้องให้โจทก์รับผิดรวมไปถึงความรับผิดที่จะต้องร่วมรับผิดกับนายปราสพสุขและนางศิรินลักษณ์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 ด้วย ประกอบกับโจทก์กู้เงินจำเลยเพื่อนำไปซื้อห้องชุดพิพาทแล้วนำมาจำนองไว้แก่จำเลยดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาจดทะเบียนจำนองห้องชุดพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.1 ของโจทก์ที่มีแก่จำเลยเพียงประการเดียวเท่านั้น ดังนั้น สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 จึงแยกต่างหากจากสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย ล.1 และ จ.3 หรือ ล.2 นอกจากนี้ขณะที่โจทก์ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.1 ให้แก่จำเลยครบถ้วน จำเลยยังไม่ได้ฟ้องคดีความรับผิดของโจทก์ร่วมกับนายปราสพสุขและนางศิรินลักษณ์ ความรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาค้ำประกันจะมีหรือไม่ เพียงใด จึงยังไม่เกิดขึ้น อีกทั้งยังไม่ปรากฏความเสียหายใดๆ แก่จำเลยที่จะมีสิทธิยับยั้งไม่ให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้ว เมื่อหนี้เงินกู้ของโจทก์อันเป็นหนี้ประธานได้ระงับไปและโจทก์ผู้จำนองแสดงความจำนงไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยจะไม่ยอมให้ไถ่ถอนโดยอ้างว่าโจทก์ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 อยู่อีกหาได้ไม่ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ และที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้แจ้งให้โจทก์หาหลักประกันอื่นมาวางแทนห้องชุดพิพาทเมื่อนายปราสพสุขผิดนัดชำระหนี้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและหลักประกันสิทธิการเช่าของนางศิรินลักษณ์มีมูลค่าไม่คุ้มหนี้แล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยและไม่ชำระหนี้ใดๆ แก่จำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์เสียหายหรือไม่เพียงใด สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์เสียหายหรือไม่นั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแจ้งชัดและถูกต้องชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงไม่วินิจฉัยซ้ำอีก ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์เสียหายเพียงใด นั้น เห็นว่า แม้ทรัพย์สินของโจทก์ติดภาระจำนองไม่สามารถนำไปจำหน่ายจ่ายโอนแก่บุคคลอื่นได้ทำให้มีมูลค่าลดต่ำลงก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทรัพย์สินของโจทก์มีมูลค่าลดต่ำลงปีละเท่าใด ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท นั้น จึงสูงเกินไป เห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์