คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

หนังสือค้ำประกันเป็นสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลอันเป็นบุคคลสิทธิซึ่งเจ้าหนี้จะต้องติดตามบังคับเอาแก่ผู้ค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้และเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญ การที่โจทก์และ ศ. ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของ ป. ต่อมาโจทก์กู้เงินจำเลยเพื่อนำไปซื้อห้องชุดพิพาทแล้วนำมาจำนองไว้แก่จำเลย ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาจดทะเบียนจำนองห้องชุดเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินของโจทก์ที่มีต่อจำเลยเพียงประการเดียวเท่านั้น สัญญาค้ำประกันจึงแยกต่างหากจากสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยจะไม่ยอมไถ่ถอนจำนองโดยอ้างว่าโจทก์ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันอยู่อีกหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 17/20 ชั้น 11 อาคารเลขที่ 17/1 ชื่ออาคารชุดบ้านกินนอนคอนโดมิเนียม ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2538 โฉนดเลขที่ 5575 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขัน์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมกับชำระค่าเสียหายจำนวน 10,164,383.60 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน ค่าเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ได้จดทะเบียนจำนองห้องชุดไว้แก่จำเลย แต่ก่อนหน้านั้นโจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของนายปราสพสุข ปราสาททองโอสถ จำนวน 7,000,000 บาท ไว้แก่จำเลยโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตกลงว่าหากโจทก์มีทรัพย์สินใดที่ได้จำนองไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้ของโจทก์เองหรือของบุคคลใดโจทก์ยินยอมให้จำเลยนำทรัพย์สินนั้นมาชำระหนี้หรือยินยอมให้จำเลยใช้สิทธิยึดหน่วงหรือยับยั้งมิให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองทรัพย์สินนั้นได้ ซึ่งโจทก์ยังมีภาระหนี้สินตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว โจทก์ไม่สุจริตสมรู้ร่วมคิดกับนางสาวภาวิณีทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดขึ้นโดยไม่มีการตกลงจะซื้อจะขายและจ่ายเงินกันจริงโจทก์มิได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 17/20 ชั้นที่ 11 อาคารเลขที่ 17/1 ชื่ออาคารชุดบ้านกินนอน คอนโดมิเนียม ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2538 โฉนดที่ดินเลขที่ 5575 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขัน์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยส่งมอบหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2537 นายปราสพสุข ปราสาททองโอสถ ทำสัญญากู้เงินจากจำเลยจำนวน 7,000,000 บาท มีโจทก์และนางศิรินลักษณ์ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยนางศิรินลักษณ์นำสิทธิการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานซึ่งตั้งอยู่ที่ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร มาเป็นประกันการชำระหนี้ของนายปราสพสุข ตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2538 โจทก์ทำสัญญากู้เงินจากจำเลยจำนวน 8,536,862 บาท เพื่อนำไปซื้อห้องชุดพิพาทเลขที่ 17/20 ชั้นที่ 11 อาคารเลขที่ 17/1 อาคารชุดบ้านกินนอน คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 5575 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และโจทก์ได้นำห้องชุดพิพาทจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้แก่จำเลยตามสัญญากู้เงินและหนังสือสัญยาจำนองเป็นประกัน จากนั้นวันที่ 12 ตุลาคม 2541 โจทก์ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วแต่จำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทคืนแก่โจทก์ เนื่องจากนายปราสพสุขผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลย โดยนางปราสพสุขผ่อนชำระเงินเป็นค่าดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายวันที่ 17 เมษายน 2541 ต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2541 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองคืนแก่โจทก์อีก โดยอ้างสิทธิตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน และวันที่ 14 กันยายน 2552 จำเลยฟ้องนายปราสพสุข โจทก์และนางศิรินลักษณ์ต่อศาลชั้นต้น ให้ร่วมกันชำระตามเงินที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยคืนจำเลย ตามคดีแพ่งหมายดำที่ ย.5301/2552 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีสิทธิไม่ยอมดำเนินการไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคล อันเป็นบุคคลสิทธิซึ่งจำเลยเจ้าหนี้จะต้องติดตามบังคับเอาแก่โจทก์ผู้ค้ำประกัน เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้และเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญหามีสิทธิจะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินของโจทก์ผู้ค้ำประกันก่อนเจ้าหนี้อื่นไม่ซึ่งแตกต่างไปจากสิทธิตามสัญญาจำนองตามหนังสือสัญญาจำนองเป็นประกันที่ได้ทำขึ้นในภายหลังและไม่ได้มีข้อความระบุว่าต้องให้โจทก์รับผิดรวมไปถึงความรับผิดที่จะต้องร่วมรับผิดกับนายปราสพสุขและนางศิรินลักษณ์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันด้วย ประกอบกับโจทก์กู้เงินจำเลยเพื่อนำไปซื้อห้องชุดพิพาทแล้วนำมาจำนองไว้แก่จำเลย ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาจดทะเบียนจำนองห้องชุดพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินของโจทก์ที่มีแก่จำเลยเพียงประการเดียวเท่านั้น ดังนั้น สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.3 จึงแยกต่างหากจากสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาจำนองเป็นประกัน นอกจากนี้ขณะที่โจทก์ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยครบถ้วน จำเลยยังไม่ได้ฟ้องคดีความรับผิดของโจทก์ร่วมกับนายปราสพสุขและนางศิรินลักษณ์ ความรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาค้ำประกันจะมีหรือไม่เพียงใด จึงยังไม่เกิดขึ้น อีกทั้งยังไม่ปรากฏความเสียหายใดๆ แก่จำเลยที่จะมีสิทธิยับยั้งไม่ให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้ว เมื่อหนี้เงินกู้ของโจทก์อันเป็นหนี้ประธานได้ระงับไปและโจทก์ผู้จำนองแสดงความจำนงไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยจะไม่ยอมให้ไถ่ถอนโดยอ้างว่าโจทก์ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันอยู่อีกหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ และที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้แจ้งให้โจทก์หาหลักประกันอื่นมาวางแทนห้องชุดพิพาทเมื่อนายปราสพสุขผิดนัดชำระหนี้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและหลักประกันสิทธิการเช่าของนางศิรินลักษณ์มีมุลค่าไม่คุ้มหนี้แล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยและไม่ชำระหนี้ใดๆ แก่จำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์เสียหายหรือไม่เพียงใด สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์เสียหายหรือไม่นั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแจ้งชัดและถูกต้องชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงไม่วินิจฉัยซ้ำอีก ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์เสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า แม้ทรัพย์สินของโจทก์ติดภาระจำนองไม่สามารถนำไปจำหน่ายจ่ายโอนแก่บุคคลอื่นได้ทำให้มีมูลค่าลดต่ำลงก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทรัพย์สินของโจทก์มีมูลค่าลดต่ำลงปีละเท่าใด ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท นั้นจึงสูงเกินไป เห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share