คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5806/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัทกระทำละเมิดต่อบริษัทบริษัทชอบที่จะฟ้องร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่บริษัทรู้ถึง การกระทำละเมิดและรู้ว่าจำเลยต้องใช้สินไหมทดแทนหรือภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันกระทำละเมิดโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทชอบที่จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 ฟ้องเรียกร้องบังคับเอาจากจำเลยแทนเท่าที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องแก่บริษัทเมื่อจำเลยกระทำละเมิดขณะที่เป็นกรรมการบริษัท คือก่อนวันที่ 17 กันยายน 2525 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23กันยายน 2535 ซึ่งพ้นกำหนดสิบปีนับแต่วันที่จำเลยกระทำผิดคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นกรรมการของบริษัท บี.บี.อี. จำกัดมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการผูกพันบริษัทบี.บี.อี. จำกัด ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2523บริษัทบี.บี.อี. จำกัด มีทรัพย์สินที่เป็นเงินสดฝากธนาคารพาณิชย์ไว้ จำนวน 73,392.82 บาท และมีลูกหนี้และเงินให้กู้ยืมแก่ผู้ถือหุ้นและลูกจ้าง จำนวน 1,105,000 บาท ต่อมาก่อนที่จำเลยจะพ้นจากการเป็นกรรมการบริษัทจำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงิน 73,392.82 บาทของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด ไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริตและใช้อำนาจในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการยกเงินของบริษัทบี.บี.อี.จำกัด ให้ผู้อื่นโดยเสน่หาโดยไม่มีเหตุอันสมควร และให้ผู้ถือหุ้นกับลูกจ้างของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด กู้ยืมโดยไม่มีหลักประกันแล้วจำเลยละเลยไม่ได้ติดตามทวงถามให้ผู้กู้ยืมใช้หนี้คืนบริษัทบี.บี.อี. จำกัด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,050,000 บาท โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรและเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด จำนวน 253,790.69 บาท จึงใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด ให้จำเลยให้เงินจำนวน 253,790.69 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เงินของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด จำนวน73,392.82 บาท ได้ใช้จ่ายในกิจการของบริษัทตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2524 ส่วนเงินจำนวน 1,050,000 บาท เป็นหนี้เงินที่ลูกค้าของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด ว่าจ้างโฆษณาและยังไม่ได้เรียกเก็บเงินส่วนหนึ่งกับเงินที่ถูกจ้างบริษัทบี.บี.อี. จำกัด กู้ยืมไปตามมติที่ประชุมกรรมการบริษัทและยังไม่ได้เรียกเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งทั้งนี้การกระทำดังกล่าวเป็นไปตามมติกรรมการบริษัท และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นประจำปี 2524 แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทบี.บี.อี จำกัด ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน253,790.69 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 มิได้กำหนดอายุความฟ้องร้องไว้ สิทธิเรียกร้องตามมาตราดังกล่าวจึงมีกำหนด 10 ปี ลูกหนี้ของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด รายไนท์สปอร์ต จำกัด และลูกหนี้ตามเช็คเป็นหนี้ที่จำเลยปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่มีหลักประกันในขณะจำเลยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าวตั้งแต่ก่อนปี 2522 และค้างชำระตลอดมาโดยจำเลยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องจนกระทั่งจำเลยพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2525 หนี้ดังกล่าวจึงกลายสภาพจากหนี้ค้างชำระเป็นหนี้สูญในวันที่จำเลยพ้นตำแหน่งดังกล่าวเพราะไม่มีผู้ใดสามารถติดตามเรียกร้องได้ ความเสียหายของบริษัทบี.บี.อี. จำกัด ในหนี้สินดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน 2525 โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2535ยังไม่เกินกำหนด 10 ปี นับแต่เกิดความเสียหาย คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ปัญหานี้นายวีระพันธ์ พูลทวี เจ้าหน้าที่โจทก์ผู้เร่งรัดภาษีอากรค้างเบิกความว่า บริษัทบี.บี.อี. จำกัดมีหน้าที่ชำระภาษีให้โจทก์ บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตั้งแต่ปี 2515 มีจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการในระหว่างปี 2515 ถึง ปี 2525 ในเดือนกันยายน 2525 จำเลยลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท และนายทะเบียนรบจดทะเบียนการลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2525จำเลยเบิกความว่า จำเลยลาออกจากกรรมการบริษัทบี.บี.อี จำกัดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2525 ปรากฏตามรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2525 เอกสารท้ายฟ้องแผ่นที่ 12 รายจ่ายของบริษัทที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2518 ถึงปี 2520 นั้น คณะกรรมการผู้ถือหุ้นของบริษัทอนุมัติค่าใช้จ่ายถูกต้องแล้ว นับแต่วันที่จำเลยใช้จ่ายไปจนถึงวันฟ้องเกิน 10 ปีแล้ว เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์โจทก์บรรยายคำฟ้องขอใช้สิทธิเรียกร้องแทนบริษัทบี.บี.อี. จำกัดโดยอ้างว่าก่อนที่จำเลยจะพ้นจากการเป็นกรรมการบริษัทจำเลยเบียดบังทรัพย์สินของบริษัทไปโดยทุจริตบริหารงานหรือจัดการทรัพย์สินของบริษัทก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทซึ่งเท่ากับกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อบริษัท บริษัทได้รับความเสียหาย บริษัทชอบจะฟ้องร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ โจทก์เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทชอบจะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169ฟ้องเรียกร้องบังคับเอาจากจำเลยแทนบริษัทเท่าที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องแก่บริษัทอยู่ การเรียกร้องดังกล่าวเป็นการเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่กระทำละเมิดต่อบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งบัญญัติให้ฟ้องร้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่บริษัทรู้ถึงการกระทำละเมิดของจำเลย และรู้ตัวผู้ละเมิดว่าจำเลยต้องใช้สินไหมทดแทนหรือภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันกระทำละเมิด การกระทำละเมิดตามคำฟ้องของโจทก์เกิดขณะจำเลยเป็นกรรมการบริษัทอยู่ คือก่อนวันที่ 17 กันยายน 2525 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยลาออกจากบริษัท โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้วันที่ 23 กันยายน 2535พ้นกำหนดสิบปีนับแต่วันที่จำเลยได้กระทำละเมิดแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ที่โจทก์ฎีกาให้นับอายุความสิบปี นับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2525 ซึ่งเป็นวันที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจดทะเบียนให้จำเลยพ้นจากกรรมการบริษัทฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ ปัญหาอื่นต่อไป”
พิพากษายืน

Share