คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย อ้างว่าจำเลยขับรถโดยประมาทชนรถซึ่งบิดาโจทก์ขับ ทำให้บิดาโจทก์ตาย จำเลยก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เนื่องจากรถเกิดชนกันครั้งเดียวกันนั้นด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกัน แล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์จำเลยไม่ติดใจอุทธรณ์คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ คงอุทธรณ์แต่คดีที่ถูกโจทก์ฟ้องแต่คดีเดียวว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะไม่ได้ประมาท ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้ที่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดเพราะขับรถโดยประมาทชนกับรถบิดาโจทก์จริงหรือไม่ ยังไม่ยุติ จะถือเอาการที่ไม่ติดใจอุทธรณ์คดีที่จำเลยฟ้องนั้น เป็นการปิดปากว่าจำเลยยอมรับข้อนี้แล้วหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรของนายว่องโกมิน แซ่ว่อง หรือสมชัย อวงสกุล จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์เลข ก.ท.ร.10038 และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถดังกล่าวของจำเลยที่ 1 นายว่องโกมินขับรถหมายเลข น.ฐ.00891 เกิดชนกับรถยนต์หมายเลข ก.ท.ร.10038 ซึ่งจำเลยที่ 2 ขับไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และขับด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ชนกับรถของนายว่องโกมิน นายว่องโกมินถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายว่องโกมินฝ่ายเดียว จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาคดีนี้ (คดีแดงที่ 3329/2510 ของศาลชั้นต้น)กับคดีแพ่งอีก 4 สำนวน คือ คดีหมายเลขแดงที่ 3225/2510, 3226/2510, 3227/2510 และ 3228/2510 โดยเฉพาะคดีแดงที่ 3225/2510 กับ 3226/2510 เป็นคดีที่จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องนางพันทิพาซึ่งเป็นภริยาของนายว่องโกมินและเป็นมารดาของโจทก์ในคดีนี้ให้ใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถเกิดชนกันครั้งนี้ และต่อมาศาลชั้นต้นสั่งเรียกโจทก์คดีนี้เข้าเป็นจำเลยร่วมกับนางพันทิพาในคดีอีก 4 สำนวนนั้น แล้วฟังว่าเหตุที่รถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และทำการงานในทางการที่จ้าง ต้องร่วมกันรับผิด พิพากษาให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ส่วนคดีอีก 4 สำนวนให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะคดีสำนวนนี้ ส่วนอีก 4 สำนวนเฉพาะคดีแดงที่ 3225/2510 นายสุกิจจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้อง โจทก์คดีนี้เป็นจำเลย เรียกค่าเสียหายเนื่องจากรถเกิดชนกันครั้งนี้ และคดีแดงที่ 3226/2510 นายสิบทิศหรือบุญส่งจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางพันทิพาเรียกค่าเสียหายเนื่องจากรถเกิดชนกันครั้งนี้เช่นกัน คดีทั้งสองสำนวนนั้นนายสุกิจและนายบุญส่งซึ่งเป็นโจทก์กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่า ไม่ติดใจอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงตามสำนวนทั้งสองนั้นจึงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดี 2 สำนวนนั้นศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุที่รถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 ฉะนั้น ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่ารถชนกันเพราะความประมาทของนายว่องโกมิน จึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงในปัญหาที่ศาลได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว เพราะโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวอยู่แล้ว แม้จะไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วแต่การที่จำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าว เป็นการยอมรับว่าข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดมาชอบแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์เถียงข้อเท็จจริงมาในอุทธรณ์นี้อีก จึงไม่อาจรับฟังได้ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยที่ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิด ตลอดจนค่าเสียหาย พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จำเลยในคดีนี้จะเป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีแดงที่ 3225/2510 และ 3226/2510 ซึ่งจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่รถชนกันรายนี้ โดยอ้างว่าเป็นเพราะความประมาทของนายว่องโกมินอันเป็นเรื่องเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้รวมกับคดีดังกล่าวแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ และให้ยกฟ้องคดี 2 เรื่องที่จำเลยฟ้องโจทก์นั้นเสีย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะคดีนี้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ 2ไม่ได้ประมาท ส่วนอีก 2 คดีนั้น จำเลยทั้งสองไม่ติดใจอุทธรณ์ อันถือได้ว่าคดี 2 เรื่องนั้นเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็ยังเห็นว่าคดี 2 เรื่องซึ่งยุติไปนั้นคงยุติเพียงเฉพาะคดีและประเด็นที่มีอยู่ในคดีทั้งสองนั้นว่า นายว่องโกมินไม่ได้ขับรถโดยประมาทชนกับรถจำเลย โจทก์ในคดีนี้จึงไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทชนกับรถของนายว่องโกมินจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นทุ่มเถียงกันในคดีนี้จึงไม่ยุติ จะถือเอาการที่จำเลยไม่ติดใจอุทธรณ์คดีทั้งสองดังกล่าว เป็นการปิดปากจำเลยว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในประเด็นคดีนี้แล้วดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่

Share