แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สิ่งเทียมอาวุธปืนพกอัดลมชนิดใช้ยิงกับลูกกระสุนพลาสติกทรงกลมขนาด 6 มม. มิใช่อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯการที่จำเลยใช้วัตถุดังกล่าวในการขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นนายธาราทิตย์ ทองแท้และขอดูใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ของนายธาราทิตย์และขอพานายธาราทิตย์ไปตรวจปัสสาวะที่สถานีตำรวจ โดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยกับพวกยังร่วมกันพานางสาวสุรีพร สุกรรมและเด็กหญิงเพ็ญพร ธรรมรุจาจิตร ไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงนางสาวสุรีพรกับเด็กหญิงเพ็ญพร ให้นางสาวสุรีพรและเด็กหญิงเพ็ญพรเดินทางร่วมไปกับจำเลยกับพวกเพื่อช่วยจับผู้กระทำผิดกฎหมาย กับร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาวสุรีพรกับเด็กหญิงเพ็ญพรไว้ในรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0206 พระนครศรีอยุธยา ทำให้นางสาวสุรีพรและเด็กหญิงเพ็ญพรปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ทั้งร่วมกันพรากเด็กหญิงเพ็ญพรอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากนางสมทรง ธรรมรุจาจิตร มารดา เพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควร ร่วมกันพรากนางสาวสุรีพรซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากนายสุรศักดิ์ สุกรรม บิดาเพื่อการอนาจารโดยนางสาวสุรีพรไม่เต็มใจไปด้วย จำเลยยังได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสุรีพร ซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลยจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้งโดยใช้ปืนพกอัดลมพลาสติก 1 กระบอก ขู่เข็ญว่าถ้าขัดขืนจะฆ่าให้ตายโดยนางสาวสุรีพรอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และจำเลยมีเครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์จำนวน 1 เครื่อง ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 145, 276, 284, 310,317, 318 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 23 ริบรถยนต์ ปืนอัดลมพลาสติก ซองหนังของกลางส่วนเครื่องวิทยุคมนาคมของกลางขอให้ริบเพื่อไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145 วรรคแรก, 276 วรรคสอง, 284 วรรคแรก, 310 วรรคแรก, 317 วรรคสาม, 318 วรรคสาม พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6, 23 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานจำคุก 6 เดือน ฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้อาวุธปืน จำคุก 16 ปี ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ กับฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก2 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 10 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารจำคุก 8 ปีฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 37 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 27 ปี 9 เดือน ริบของกลางทั้งหมด เฉพาะวิทยุคมนาคมริบเพื่อให้ไว้ใช้ในราชการไปรษณีย์โทรเลข
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยมีอาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองหรือไม่ โจทก์มีนางสาวสุรีพร สุกรรม ผู้เสียหายเบิกความว่า บริเวณที่จำเลยขับรถพาไปห่างจากถนนไกลมากและบริเวณดังกล่าวมืด เมื่อจำเลยจอดรถแล้วบังคับให้ผู้เสียหายถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายไม่ยอมถอดจำเลยบอกว่าหากไม่ถอดจะยัดเยียดข้อหายาบ้าให้ ผู้เสียหายจึงยอมถอด แต่ไม่ยอมถอดเสื้อยกทรง จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนจากเอวขึ้นมาขู่จนผู้เสียหายต้องยอดถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด จำเลยพยายามข่มขืนผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยินยอม ต่อมาจำเลยหยิบอาวุธปืนมาขู่อีกว่าจะยอมหรือจะให้ทำร้าย ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงยอมให้จำเลยกระทำชำเราเมื่อเสร็จแล้วจำเลยให้ผู้เสียหายใส่เสื้อผ้าแล้วขับรถพาไปที่สวนนก ส่วนพยานจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่าจำเลยถามนางสาวสุรีพรผู้เสียหายว่าหากจะมีอะไรด้วยจะยอมหรือไม่ ผู้เสียหายบอกว่าให้รีบทำเร็ว ๆ และยินยอมให้ร่วมเพศด้วยจำเลยจึงร่วมเพศกับผู้เสียหาย 1 ครั้ง หลังจากนั้นผู้เสียหายได้บอกให้จำเลยซื้อยาคุมมาให้เห็นว่า ผู้เสียหายยังเป็นนักเรียนและอายุยังน้อย ไม่รู้จักกับจำเลยมาก่อนเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นความจริงผู้เสียหายก็ไม่น่าจะเบิกความเช่นนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเบิกความเพื่อกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมก็ไม่มีเหตุผล เพราะจำเลยเองก็เบิกความว่าผู้เสียหายกลัวมีท้องจึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราดังที่จำเลยอ้าง ข้ออ้างของจำเลยที่อ้างว่าผู้เสียหายยินยอมจึงฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การข่มขืนกระทำชำเราดังกล่าวได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนอันเป็นเหตุให้จำเลยรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายไม่ให้ขัดขืนจนผู้เสียหายเกิดความกลัว แต่อาวุธปืนที่ใช้ขู่ โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ หรือไม่ แต่โจทก์ได้ส่งผลการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลางที่พนักงานสอบสวนส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองกำกับการวิทยาเขต 1 ซึ่งเมื่อตรวจพิสูจน์แล้วกองกำกับการวิทยาเขต 1 มีความเห็นว่าอาวุธปืนของกลางที่เป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนพกอัดลมชนิดใช้ยิงกับลูกกระสุนพลาสติกทรงกลมขนาด6 มม. ซึ่งใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุไม่ได้ตามเอกสารหมาย จ.21ดังนั้นอาวุธปืนของกลางที่ส่งไปตรวจพิสูจน์ซึ่งตามคำฟ้องระบุว่าเป็นอาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ผู้เสียหายอาวุธปืนดังกล่าวก็มิใช่อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แต่เป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคสอง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย จึงเห็นสมควรปรับบทลงโทษและกำหนดโทษเสียใหม่ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษสำหรับความผิดฐานนี้ จำคุก 12 ปีคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก9 ปี เมื่อรวมกับโทษความผิดกระทงอื่นแล้วรวมจำคุก 24 ปี 9 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1