คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5792/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำ ที่ระบุที่ดินที่จะซื้อจะขายตามโฉนดเลขที่ 3707 นั้น ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีและคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลตามกฎหมาย เป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณี นิติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3707 จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีที่ประสงค์ให้ใช้บังคับระหว่างกันคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 ที่ไม่เปิดเผยและถูกอำพรางไว้ กรณีจึงต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้
เมื่อครบกำหนดโอนที่ดินตามสัญญา ฉ. ผิดสัญญาโอนที่ดินแก่ ป. ไม่ได้ ป. ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ ฉ. ปฏิบัติตามสัญญาหรือเรียกค่าเสียหายได้ การที่ ฉ. ทำสัญญากู้ยืมเงิน ป. 880,000 บาท โดยจำเลยเป็นผู้เขียนสัญญา และจำเลยยอมนำที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยให้ยึดถือเป็นประกันด้วยนั้น จึงเป็นที่มาแห่งมูลหนี้ ชอบที่ ป. จะบังคับให้ ฉ. ชำระค่าเสียหายที่ไม่สามารถโอนที่ดินแก่ตน แต่เนื่องเพราะ ฉ. ไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นบุคคลล้มละลายและ ป. กลัวว่า ฉ. จะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมชำระเงินตามสัญญากู้เงิน การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยแก่โจทก์ในราคา 880,000 บาท เพื่อเป็นประกันไว้แทนสัญญากู้เงินดังกล่าวให้อีก สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี และคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลตามกฎหมายเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณี นิติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีที่ประสงค์ให้ใช้บังคับระหว่างกันคือ จำเลยยอมชำระเงินแทน ฉ. ในมูลหนี้ที่ ฉ. ทำสัญญากู้เงิน ป. 880,000 บาท นั่นเอง และสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทถือได้ว่าเป็นการกู้ยืมเงินของ ฉ. โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งสัญญาตามเจตนาที่แท้จริงดังกล่าวนี้เป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่ ป. ได้วางมัดจำแก่ ฉ. เพื่อชำระราคาที่ดินไปแล้วพร้อมค่าเสียหายมิใช่นิติกรรมอำพรางของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่าง ฉ. กับ ป. ซึ่งเป็นคนละส่วนต่างหากจากกัน เมื่อ ฉ. มิได้ชำระเงินที่ต้องรับผิดแก่ ป. หรือโจทก์และการที่จำเลยยอมทำสัญญารับผิดในหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ตามที่ ฉ. ป. และโจทก์ยินยอม โดยทุกฝ่ายต่างลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำกรณีโอนที่ดินกันไม่ได้เท่ากับโจทก์ขอให้ชำระหนี้ค้ำประกัน หาใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่งไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชำระเงิน 621,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 540,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 540,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 มีนาคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำให้การจำเลยและตามทางพิจารณาโจทก์จำเลยนำสืบว่า นายประหยัด บิดาโจทก์ต้องการซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล เนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา ของนางสาว ต่อจากนายฉลาด อดีตสามีจำเลย ซึ่งนายฉลาดทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวจากนางสาว เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2551 ตกลงราคากัน 1,200,000 บาท นายฉลาดวางเงินมัดจำ 100,000 บาท สัญญากำหนดโอนกรรมสิทธิ์แก่นายฉลาดในวันที่ 19 มิถุนายน 2552 ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2552 นายฉลาดตกลงจะขายที่ดินดังกล่าวแก่นายประหยัดในราคา 1,200,000 บาท นายประหยัดวางเงินมัดจำ 500,000 บาท สัญญากำหนดโอนกรรมสิทธิ์แก่นายประหยัดในวันที่ 23 กันยายน 2552 โดยสัญญาดังกล่าวไม่ได้ระบุที่ดินที่จะซื้อขายเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 แต่ระบุเป็นที่ดินแปลงอื่น คือที่ดินโฉนดเลขที่ 3707 ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล เนื้อที่ 4 ไร่ 38 ตารางวา ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2552 นายประหยัดชำระเงินแก่นายฉลาดเพิ่มอีก 40,000 บาท และมีการแก้ไขสัญญา กำหนดชำระเงินส่วนที่เหลือในวันที่ 30 ธันวาคม 2552 และนายประหยัดเข้าทำประโยชน์ปลูกต้นปาล์มน้ำมันในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 ครบกำหนดตามสัญญาแล้ว แต่นายฉลาดไม่สามารถโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 ให้แก่นายประหยัด ต่อมาวันที่ 16 มกราคม 2553 นายฉลาดทำสัญญากู้เงินกับนายประหยัดว่า นายฉลาดกู้ยืมเงินนายประหยัด 880,000 บาท ซึ่งจำนวนเงินคิดจากเงินมัดจำ 540,000 บาท และค่าเสียหายที่นายประหยัดปลูกต้นปาล์มน้ำมันในที่ดิน โดยนำที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยให้ยึดถือไว้เป็นประกันด้วย สัญญากำหนดชำระเสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 มกราคม 2554 และจำเลยเป็นผู้เขียนสัญญาดังกล่าวตามหนังสือสัญญากู้เงิน รุ่งขึ้นวันที่ 17 มกราคม 2553 นายประหยัดบอกว่านายฉลาดไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นบุคคลล้มละลาย ขอให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของจำเลยคือที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 แก่โจทก์ในราคา 880,000 บาท สัญญาระบุว่าจำเลยรับเงินมัดจำไว้ 540,000 บาท กำหนดโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ในวันที่ 17 มกราคม 2554 ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อเป็นประกันไว้แทนสัญญากู้เงินดังกล่าว เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำ ที่ระบุที่ดินที่จะซื้อจะขายตามโฉนดเลขที่ 3707 นั้น ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีและคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลตามกฎหมาย เป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณี นิติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3707 จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีที่ประสงค์ให้ใช้บังคับระหว่างกันคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 ที่ไม่เปิดเผยและถูกอำพรางไว้ กรณีจึงต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้ เมื่อครบกำหนดโอนที่ดินตามสัญญาในวันที่ 30 ธันวาคม 2552 นายฉลาดผิดสัญญาโอนที่ดินแก่นายประหยัดไม่ได้ ดังนี้ นายประหยัดย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้นายฉลาดปฏิบัติตามสัญญาหรือเรียกค่าเสียหายได้ การที่นายฉลาดทำสัญญากู้ยืมเงินนายประหยัด 880,000 บาท เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2553 ตามหนังสือสัญญากู้เงิน โดยจำเลยเป็นผู้เขียนสัญญา และจำเลยยอมนำที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยให้ยึดถือเป็นประกันด้วยนั้น จึงเป็นที่มาแห่งมูลหนี้ ชอบที่นายประหยัดจะบังคับให้นายฉลาดชำระค่าเสียหายที่ไม่สามารถโอนที่ดินแก่ตน แต่เนื่องเพราะนายฉลาดไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นบุคคลล้มละลายและนายประหยัดกลัวว่านายฉลาดจะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมชำระเงินตามสัญญากู้เงิน การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยแก่โจทก์ในราคา 880,000 บาท เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2553 เพื่อเป็นประกันไว้แทนสัญญากู้เงินดังกล่าวให้อีก เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี และคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลตามกฎหมายเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณี นิติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีที่ประสงค์ให้ใช้บังคับระหว่างกันคือ จำเลยยอมชำระเงินแทนนายฉลาดในมูลหนี้ที่นายฉลาดทำสัญญากู้เงินนายประหยัด 880,000 บาท ตามสัญญากู้เงินนั่นเอง และสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทถือได้ว่าเป็นการกู้ยืมเงินของนายฉลาด โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งสัญญาตามเจตนาที่แท้จริงดังกล่าวนี้เป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่นายประหยัดได้วางมัดจำแก่นายฉลาดเพื่อชำระราคาที่ดินไปแล้วพร้อมค่าเสียหาย มิใช่นิติกรรมอำพรางของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างนายฉลาดกับนายประหยัด ซึ่งเป็นคนละส่วนต่างหากจากกัน เมื่อนายฉลาดมิได้ชำระเงินที่ต้องรับผิดแก่นายประหยัดหรือโจทก์และการที่จำเลยยอมทำสัญญารับผิดในหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ตามที่นายฉลาด นายประหยัด และโจทก์ยินยอม โดยทุกฝ่ายต่างลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำกรณีโอนที่ดินกันไม่ได้เท่ากับโจทก์ขอให้ชำระหนี้ค้ำประกัน หาใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่งไม่ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ฝ่ายโจทก์ตกลงว่าหากนายประหยัดได้รับโอนที่ดินจากนางสาวแล้วก็ให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเป็นอันยกเลิกนั้น เห็นว่า นายฉลาดเบิกความยอมรับว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน นายฉลาดจึงทราบว่า นายประหยัดไปดำเนินการไถ่ถอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 261 ของนางสาวจากธนาคาร และวันที่ 30 มีนาคม 2553 นางสาวโอนที่ดินดังกล่าวแก่นายประหยัดตามสำเนาโฉนดที่ดิน แสดงว่าเมื่อนายฉลาดไม่สามารถดำเนินการโอนที่ดินดังกล่าวแก่นายประหยัดตามสัญญาภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2552 หลังจากนั้นนายฉลาดก็ไม่ได้ดำเนินการใดให้เห็นว่านายประหยัดคงให้นายฉลาดปฏิบัติตามสัญญาต่อไป และข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีหลักฐานยืนยันได้สมจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ การได้ที่ดินดังกล่าวของนายประหยัดไม่มีมูลเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิดคืนเงินมัดจำ 540,000 บาท แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านยอมรับว่า เมื่อบิดาโจทก์และโจทก์ได้รับโอนที่ดินจากนางสาวและนางสร้อยสน โจทก์ได้รับเงิน 150,000 บาท เข้าใจว่าเป็นส่วนของนายฉลาด เมื่อหักหนี้กันแล้ว คงเหลือหนี้ต่อกัน 390,000 บาท ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดคืนเงิน 390,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงบางส่วน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 มีนาคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share