คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะเป็นความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น มิใช่ว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว ก็เกิดเป็นความผิดเสมอไป กรณีจะต้องปรากฏด้วยว่าเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น จำเลยได้ออกด้วยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คด้วย เจตนาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คหรือวันออกเช็ค จำเลยเป็นเจ้าหนี้ธนาคารอยู่เป็นจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายซึ่งถือไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น เช่นนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด (อ้างฎีกาที่ 259/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันออกเช็คลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ สั่งจ่ายเงิน ๒๖๑,๙๕๐ บาท ลงชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สั่งจ่าย ประทับตามของจำเลยที่ ๑ (นิติบุคคล) มอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาจ่ายเช็คดังกล่าวที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น และเป็นการออกเช็คใช้เงินจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีของจำเลยที่ ๑ ในธนาคาร ครั้นถึงกำหนดสั่งจ่ายแล้ว เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๖ ตัวแทนผู้รับมอบอำนาจบริษัทโจทก์ได้นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ซึ่งหมายความว่าเงินในบัญชีของจำเลยไม่พอจ่ายตามเช็ค โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยไม่ชำระ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์แจ้งความเรื่องนี้มุ่งถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญยนต์ คือจำเลยที่ ๑ และการซื้อขายก็มีอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเรื่องระหว่างบริษัทโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการหาต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เช็คลงวันที่สั่งจ่าย ๒๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ แต่โจทก์เพิ่งไปเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๖ ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ มียอดเงินในบัญชีเพียงสิ้นวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นเจ้าหนี้ธนาคารที่จำเลยฝากอยู่ ๒๖๒,๘๒๑.๒๖ บาท เกินกว่าที่จะต้องชำระให้โจทก์ หากโจทก์เรียกเก็บเงินในเวลาอันควรก็น่าจะได้รับเงินตามเช็คนี้ เหตุที่โจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามเช็ค จึงไม่ใช่เกิดจากจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น หรือออกเช็คใช้เงินจำนวนสูงกว่าที่จำเลยมีอยู่ในบัญชีของจำเลย คดีโจทก์ไม่มีมูลทางอาญา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายมีใจความว่า การออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑) นั้น เมื่อได้มีการนำเช็คไปขึ้นต่อธนาคารและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็เป็นความผิดแล้ว โดยมิต้องคำนึงว่าในวันที่ออกเช็ค จำเลยมีเงินอยู่ในบัญชีพอจ่ายหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะเป็นความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค มิใช่ว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็เกิดเป็นความผิดเสมอไป กรณีจะต้องปรากฏด้วยว่าเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น จำเลยได้ออกด้วยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คด้วย เจตนาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า ในวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คหรือวันออกเช็คคือวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่เป็นจำนวน ๒๖๒,๘๒๑.๒๖ บาท สูงกว่าจำนวนเงิน ๒๖๑,๙๕๐ บาท ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่าย ซึ่งถือไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดเทียบได้กับคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๙/๒๕๑๓ ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายวิภาต ฉิมมณี โจทก์ร่วม นางลิลิต สาระคุณ จำเลย
พิพากษายืน

Share