คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5789/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันทำขึ้นก่อนวันที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557 ใช้บังคับ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้บัญญัติการใช้บังคับมาตรา 681/1 ไว้เป็นอย่างอื่น ข้อสัญญาตามสัญญาค้ำประกันที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงใช้บังคับได้ ส่วนมาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557 บัญญัติให้เจ้าหนี้ต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันก่อนใช้สิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ และหากเจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายใน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวนั้น มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้มาตรา 686 ใช้บังคับนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2558 โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 28 มกราคม 2558 ไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นการบอกกล่าวก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ส่วนหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2559 เป็นการบอกกล่าวเกินกำหนด 60 วัน จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงหลุดพ้นความรับผิดเฉพาะแต่ดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดดังกล่าว แต่หน้าที่ในการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์กรณีที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันนั้นเป็นหนี้ประธาน หาใช่ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ ตามมาตรา 686 วรรคสอง แต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากไม่สามารถส่งคืนได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 360,000 บาท ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เป็นเงินวันละ 700 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาครบถ้วน
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน บม 2885 กาฬสินธุ์ ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 275,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 79,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 เมษายน 2559) จนกว่าจะเสร็จแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ร่วมชำระค่าขาดประโยชน์กับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายต่อไปอีกวันละ 300 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนรถยนต์หรือใช้ราคาเสร็จ แต่ทั้งนี้ให้ไม่เกิน 180 วัน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน บม 2885 กาฬสินธุ์ ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 275,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 18,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 890 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน บม 2885 กาฬสินธุ์ ไปจากโจทก์ในราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 599,080.32 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนมีกำหนด 72 เดือน ในอัตราเดือนละ 8,320.56 บาท กับภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 582.44 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 ธันวาคม 2556 และงวดต่อไปชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันชำระหนี้ค่าเช่าซื้อโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 20 งวด โดยชำระถึงงวดประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 28 มกราคม 2558 แจ้งการค้างชำระค่าเช่าซื้อไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 และมีหนังสือลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระรวม 4 งวด พร้อมเบี้ยปรับ ค่าติดตามทวงถาม รวมเป็นเงิน 53,916.42 บาท และบอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว จำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ สำหรับคดีของจำเลยที่ 1 และความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในค่าขาดประโยชน์ โจทก์ไม่ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมหรือไม่ เห็นว่า สัญญาค้ำประกันทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557 ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวบัญญัติว่า บทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนสัญญาที่ได้ทำไว้ก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่กรณีที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวไม่ได้บัญญัติถึงการใช้บังคับมาตรา 681/1 ไว้เป็นอย่างอื่น สัญญาข้อ 5 ที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อจึงใช้บังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ ส่วนมาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557 ที่บัญญัติให้เจ้าหนี้ต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันก่อนใช้สิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ และหากเจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลา 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ให้ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวนั้น มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ใช้บังคับนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คือวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 21 ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2558 ที่โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการบอกกล่าวก่อนจำเลยที่ 1 ผิดนัด ส่วนหนังสือให้ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2559 เป็นการบอกกล่าวจำเลยที่ 2 และที่ 3 เกินกำหนด 60 วัน นับแต่จำเลยที่ 1 ผิดนัด เช่นนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงหลุดพ้นจากความรับผิดเฉพาะแต่ดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แต่หน้าที่ในการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์กรณีที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันนั้นเป็นหนี้ประธาน หาใช่ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ตามมาตรา 686 วรรคสอง แต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์ด้วย ที่จำเลยที่ 2 แก้ฎีกาว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถยนต์ ต่อมาตัวแทนโจทก์ได้ติดต่อและนำเอารถยนต์กลับคืนไปตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่แนบท้ายคำแก้ฎีกานั้น หากเป็นจริงตามอ้างก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องร่วมรับผิดในการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือชดใช้ราคาแทน ด้วยเหตุว่าเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสามงวดติดต่อกันและโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาโดยชอบนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 275,000 บาท ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share