แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 นำกุญแจเปลี่ยนใส่ห้องพิพาทแทนกุญแจของโจทก์และเข้าไปขนย้ายทรัพย์สินในห้องพิพาทเป็นการกระทำโดยขาดเจตนาจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการร่วมกันบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 362, 365 (2) ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเพียงว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานบุกรุกตามมาตรา 362 เท่านั้น โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกตามมาตรา 365 (2) ด้วยหรือไม่ โดยไม่ปรากฏเหตุผล การที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่ชอบด้วย มาตรา 186 (6) ประกอบด้วยมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) และมาตรา 247 ประกอบด้วย
ป.วิ.พ. มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ (๒), ๓๓๔ (๗), ๓๓๖ ทวิ, ๑๕๗, ๙๑, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ ในข้อหาฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ (๒) ส่วนข้อหาอื่นและจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ไม่มีมูล ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๒ ให้ลงโทษปรับ ๒,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๒) ด้วย หรือไม่นั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ นำกุญแจเปลี่ยนใส่ห้องพิพาทแทนกุญแจของโจทก์และเข้าไปขนย้ายทรัพย์สินในห้องพิพาทเป็นการกระทำโดยขาดเจตนา จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการร่วมกันบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ (๒) ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามฟ้อง แต่ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเพียงว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ เท่านั้น โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๒) ด้วยหรือไม่ โดยไม่ปรากฏเหตุผล การที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าว ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย คำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ (๖) ประกอบด้วยมาตรา ๒๑๕ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๑) และมาตรา ๒๔๗ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ โดยเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า การที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่เกิดเหตุไปที่ห้องพิพาทนั้น เป็นเพียงการไปเป็นพยานรู้เห็นในการขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ไปฝากเก็บไว้ที่สถานที่ตำรวจท้องที่ อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริตในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนโดยสำคัญผิดคิดว่ามีอำนาจที่จะกระทำได้ ถือไม่ได้ว่ามีเจตนากระทำความผิดฐานบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๒) ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๒) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน