คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5778/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่ออายุความละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ซึ่งเป็นคุณแก่ ส. ผู้ตายจะครบกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ ส. ตาย สิทธิของโจทก์ผู้ถูกกระทำละเมิดที่จะฟ้องทายาทผู้รับมรดกของ ส. จึงอยู่ภายใต้บังคับมาตรา193/23 โจทก์ ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ส. ในวันที่ยังไม่ครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันอันเป็นวันที่ ส. ตาย คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมาจึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เสียตามทุนทรัพย์แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้รับมรดกของพันตรีเสริมให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 656,715 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปีนับแต่วันทำละเมิดหรือนับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทว่าคดีขาดอายุความแล้วหรือไม่
ระหว่างพิจารณา ในวันสืบพยานโจทก์ ทนายความโจทก์แถลงว่าตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์เพิ่งทราบการตายของพันตรีเสริม ทิพย์จำนงค์ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2539นั้น เป็นการผิดพลาดไป ความจริงผู้บัญชาการทหารสูงสุดทราบถึงการตายของพันตรีเสริม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2539ทนายจำเลยทั้งสองแถลงว่า พันตรีเสริม ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2538 และแถลงรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทราบถึงการตายของพันตรีเสริม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2539ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเรื่องอายุความแล้วจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์ทราบถึงการละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดในมูลละเมิด เมื่อวันที่ 15ธันวาคม 2537 และโจทก์ฟ้องพันตรีเสริม ทิพย์จำนงค์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2538 วันที่ 10 กรกฎาคม 2539 โจทก์ได้ทราบว่าพันตรีเสริม ถึงแก่กรรมไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15พฤศจิกายน 2538 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่โจทก์จะฟ้องพันตรีเสริมโจทก์ได้ถอนฟ้องพันตรีเสริม และยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในมูลละเมิดในฐานะที่จำเลยทั้งสองเป็นทายาทโดยธรรมและผู้รับมรดกพันตรีเสริม เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2539
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/23 บัญญัติว่า “อายุความตามสิทธิเรียกร้องอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้ตาย ถ้าจะครบกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันตาย อายุความนั้นยังไม่ครบกำหนด จนกว่าจะครบหนึ่งปีนับแต่วันตาย” เห็นว่า อายุความละเมิดตามมาตรา 448 ซึ่งเป็นคุณแก่พันตรีเสริม จะครบกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พันตรีเสริมตายสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องทายาทผู้รับมรดกของพันตรีเสริมจึงอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 193/23 เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทของพันตรีเสริม ในวันที่ 22 สิงหาคม 2539 ยังไม่ครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2538 อันเป็นวันที่พันตรีเสริม ตาย คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข.ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิใช่เสียตามทุนทรัพย์แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 16,517.50 บาท ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาทให้แก่โจทก์

Share