คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายทั้งสามมีบาดแผลที่บริเวณศีรษะเป็นจำนวนมากบาดแผลส่วนใหญ่เกิดจากการถูกตีด้วยของแข็งที่มีน้ำหนักมากจนกะโหลกศีรษะของแต่ละคนแตกกระจายทั่วไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมีเนื้อสมองออกมาจากบาดแผล สำหรับ ส. และ ช. ผู้ตายยังพบเศษดินโคลนและน้ำในหลอดลมซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ตายทั้งสามถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองถูกทำลายจากของแข็งกระทบกระแทกและขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ ชี้ให้เห็นว่าก่อนผู้ตายทั้งสามจะถึงแก่ความตายได้ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกใช้ของแข็งไม่มีคมทุบตีที่บริเวณศีรษะอย่างรุนแรงหลายครั้งอย่างโหดเหี้ยมหลังจากนั้นยังถูกนำไปทิ้งน้ำ ทั้งยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่ามีเจตนาฆ่าโดยการทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยเรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 6

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยทั้งหกกับพวกอีก 7 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ เมื่อวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยงคืน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญา พบว่าที่ห้องเลขที่ 160/359คอนโดแกรนด์ริเวอร์วิวทาวเวอร์ ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรีมีกลุ่มบุคคลลอบเล่นการพนันโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีหน้าที่ต้องจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพนันดังกล่าวดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยมีเจตนาทุจริต กลับเพิกเฉยไม่จับกุม อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกรมตำรวจ และเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบสำหรับตน และเมื่อระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2538 เวลากลางวันติดต่อกันตลอดมาจำเลยทั้งหกกับพวกอีก 7 คน ร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก อาวุธปืนพกอีก3 กระบอกปล้นทรัพย์เอาแหวนทองคำหนัก 1 สลึง 1 วง ราคา 1,150 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 10 องค์ ราคา 18,000 บาท เงินสดไม่ทราบจำนวน บัตรประจำตัวประชาชน 1 ใบ และใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ 1 ใบ รวมราคาทรัพย์สินทั้งสิ้น 19,150 บาท ของนายชัชชัยหรือเหม่า กันลัยพันธุ์ ผู้เสียหายไปโดยทุจริตโดยจำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนจี้ ขู่เข็ญ นายชัชชัยหรือเหม่า นายสมศักดิ์โลหิตตาดิส และนายนฤพนธ์หรือกุ้ง อนุรักษ์ปราการ ผู้เสียหายทั้งสามไม่ให้ขัดขืน แล้วจำเลยทั้งหกกับพวกดังกล่าวได้ใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันชก ต่อย เตะ และกระทืบตามร่างกายผู้เสียหายทั้งสามอย่างแรงหลายครั้ง และร่วมกันใช้ด้ามปืน ลูกตุ้มซีเมนต์ท่อนไม้ และของแข็งมีคมทุบ ตี และฟันถูกบริเวณใบหน้า ศีรษะและลำตัวผู้เสียหายทั้งสามอย่างแรงหลายครั้งเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสามได้รับอันตรายสาหัส กะโหลกศีรษะแตกยุบและหมดสติไป และจำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันใช้ผ้ารัดคอประทุษร้ายร่างกายนายสมศักดิ์และนำกุญแจมือมาสวมข้อมือทั้งสองข้างของนายนฤพนธ์หรือกุ้ง แล้วนำผู้เสียหายทั้งสามไปกดให้จมน้ำ ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นเอาไว้ ปกปิดการกระทำผิดนั้น โดยใช้รถยนต์ปิกอัพกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดหรือพาเอาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม และจำเลยทั้งหกกับพวกกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสามให้ถึงแก่ความตายโดยทรมานและโดยทารุณโหดร้าย และเพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนกระทำไว้เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสามถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งหกกับพวก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 340, 340 ตรี, 157, 83, 91, 33 และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แหวนทองคำ 1 วง ราคา 1,140 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 10 องค์ ราคา 18,000 บาท รวมราคา 19,150 บาท แก่ทายาทนายชัชชัยหรือเหม่าผู้เสียหาย ริบรถยนต์ปิกอัพ หมายเลขทะเบียน 9 ผ – 1580 กรุงเทพมหานครอาวุธปืนพกขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซอง อาวุธปืนพกขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซอง ลูกตุ้มซีเมนต์ 1 อันผ้าใช้รัดคอ 1 เส้น เศษผ้าสีแดง 1 ชิ้น และกุญแจมือ 1 คู่ ของกลาง

จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณานางอุไรวรรณ โลหิตตาดิส ภริยานายสมศักดิ์ โลหิตตาดิส ผู้ตาย และนายมนัส กันลัยพันธุ์ บิดานายชัชชัยหรือเหม่า กันลัยพันธุ์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ(ที่ถูกอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้เฉพาะความผิดต่อชีวิตและปล้นทรัพย์)

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(5) ประกอบมาตรา 83 ให้วางโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งหก และจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งหก ทางนำสืบของจำเลยทั้งหกเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงให้จำคุกจำเลยทั้งหกตลอดชีวิตริบของกลาง คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งหกอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยทั้งหกฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันฆ่าผู้ตายทั้งสามโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีนายวิรัตน์ สีทองสุข นายสุริยะ แซ่เตีย ยามรักษาความปลอดภัยคอนโดมิเนียมที่เกิดเหตุ กับนายพงษ์ศักดิ์หรือหนุ่ม แดงต้อย นายกิติรัชหรือยักษ์ มณีทรัพย์กุล และนายศุภชัยหรือติ๋ว ศิริวงษ์ เพื่อนผู้ตาย เป็นประจักษ์พยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากนายนฤพนธ์หรือกุ้งและนายชัชชัยหรือเหม่าผู้ตายทั้งสองกับพวกได้ยึดอาวุธปืนและบัตรประจำตัวข้าราชการของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว ได้พากันลงมายังชั้นล่าง เห็นจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนลูกซองยาวเดินเข้าไปต่อว่านายนฤพนธ์กับพวกที่รังแกพวกจำเลยที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 6 ได้เข้ามาพูดให้นายนฤพนธ์กับพวกคืนอาวุธปืนและบัตรประจำตัวข้าราชการแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลังจากนั้นไม่นานนายสมศักดิ์ได้มายังที่เกิดเหตุเจรจากับจำเลยที่ 1 และพวก แต่ตกลงกันไม่ได้ นายนฤพนธ์ได้เอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายรูปพวกจำเลยทำให้จำเลยที่ 1 กับพวกไม่พอใจจึงเข้ารุมทำร้ายนายนฤพนธ์ นายสมศักดิ์และนายชัชชัยจนสลบไป แม้ในชั้นพิจารณานายวิรัตน์ นายพงษ์ศักดิ์ นายกิติรัช นายศุภชัยจะไม่ยืนยันว่าเห็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกับพวกที่หลบหนีไปทำร้ายผู้ตายทั้งสาม คงมีแต่นายสุริยะผู้เดียวที่เบิกความว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์ปิกอัพไมตี้เอ็กซ์สีขาวมากับชายอีกคนหนึ่ง แล้วจำเลยที่ 1 ได้เดินทางไปคุยกับชายวัยรุ่น 4 ถึง 5 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกนายนฤพนธ์ยึดอาวุธปืนและหลังจากผู้ตายทั้งสามถูกทำร้ายจนสลบไปแล้ว จำเลยที่ 1เป็นผู้ลากผู้ตายทั้งสามขึ้นรถปิกอัพของจำเลยที่ 1 ขับออกไปก็ตาม แต่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของบุคคลดังกล่าวตามเอกสาร จ.4 จ.7 จ.8 จ.10และ จ.45 มาเป็นพยาน ซึ่งในคำให้การดังกล่าวต่างระบุต้องกันว่า ในขณะที่ผู้ตายทั้งสามเจรจาเพื่อจะตกลงเรื่องที่เกิดขึ้นกับจำเลยที่ 1 และพวกนั้น นายนฤพนธ์ได้ใช้กล้องถ่ายรูปที่ถือติดมือมาถ่ายรูปจำเลยที่ 1 กับพวก ทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถืออาวุธปืนลูกซองยาวมาด้วยกับพวกไม่พอใจ จำเลยที่ 4 ซึ่งมากับจำเลยที่ 1 ได้เข้าล็อคคอนายนฤพนธ์พร้อมกับใช้อาวุธปืนจี้ที่ศีรษะ จากนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 และลูกน้องนายตี๋ที่มาเปิดบ่อนการพนันได้เข้ารุมเตะ กระทืบ และใช้ตุ้มคอนกรีตทุบที่ใบหน้าจนนายนฤพนธ์สลบไปเมื่อนายสมศักดิ์ชักอาวุธปืนจะเข้าช่วยก็ถูกนายตี๋กับพวกแย่งอาวุธปืนและรุมเตะกระทืบจนสลบ สำหรับนายชัชชัยก็ถูกจำเลยที่ 1 กับลูกน้องนายตี๋รุมทำร้ายเตะ ต่อยจนสลบไป หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 กับพวกได้นำตัวผู้ตายทั้งสามขึ้นท้ายรถปิกอัพยี่ห้อโตโยต้าไมตี้เอ็กซ์ สีขาว ขับออกไป รุ่งเช้ามีผู้พบศพผู้ตายทั้งสามจมน้ำอยู่ในร่องสวนใกล้โรงงานบริดสโตนส์ จังหวัดปทุมธานี เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวได้กระทำขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นาน ระบุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดเป็นขั้นตอนสอดคล้องต้องกันเริ่มตั้งแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ จนกระทั่งผู้ตายทั้งสามถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกที่หลบหนีรุมทำร้ายจนสลบแล้วนำตัวขึ้นรถปิกอัพขับออกไปจากที่เกิดเหตุเพียง 2 วันและเป็นเวลาก่อนที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะเข้ามอบตัวสู้คดี ย่อมไม่มีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองเพื่อปรักปรำหรือช่วยเหลือฝ่ายใด ส่วนนายพงษ์ศักดิ์ นายศุภชัยและนายสุริยะ ที่มาให้การเพิ่มเติมในรายละเอียดหลังจากเกิดเหตุประมาณ 20 วัน ก็ได้ความว่า เนื่องจากพยานเหล่านี้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ตนในภายหลังเนื่องจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ โดยเฉพาะนายสุริยะอ้างว่าเนื่องจากผู้จัดการคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นนายจ้างสั่งห้ามไว้ ซึ่งล้วนแต่มีเหตุผลที่ทำให้พยานเหล่านี้มาให้การเพิ่มเติมในรายละเอียดล่าช้า จึงหาเป็นพิรุธแต่อย่างใดไม่ แม้ในชั้นพิจารณาพยานเหล่านี้มิได้เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมทำร้ายผู้ตายทั้งสามด้วยโดยอ้างทำนองว่าข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้ตายทั้งสามด้วยนั้นพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นเอง พยานมิได้ให้การเช่นนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องที่พยานเหล่านี้พยายามเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เสียมากกว่าเพราะการสอบสวนคดีนี้ได้กระทำและควบคุมโดยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนโดยตรงจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พนักงานสอบสวนและผู้ควบคุมจะทำการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นคำให้การชั้นสอบสวนของนายพงษ์ศักดิ์ นายศุภชัย นายกิติรัช นายวิรัตน์ และนายสุริยะ ตามเอกสารหมาย จ.4 จ.7 จ.10 และ จ.45 ที่เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงน่าจะเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของพยานเหล่านี้ในชั้นพิจารณา คดีนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4ก็นำสืบรับว่าขณะที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยเพียงแต่อ้างว่าไม่ได้มีส่วนร่วมทำร้ายผู้ตายทั้งสามเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกที่หลบหนีทำร้ายร่างกายผู้ตายทั้งสามจนสลบแล้วนำร่างของผู้ตายทั้งสามใส่รถปิกอัพขับออกไป พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้ แม้ขณะที่ผู้ตายทั้งสามถูกฆ่าจะไม่มีพยานผู้ใดรู้เห็นแต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกที่หลบหนีช่วยกันรุมทำร้ายผู้ตายทั้งสามจนสลบแล้วนำตัวขึ้นรถปิกอัพขับออกไป ต่อมารุ่งเช้ามีผู้พบศพผู้ตายทั้งสามจมน้ำอยู่ในร่องสวนซึ่งเป็นระยะเวลาห่างจากที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกพาผู้ตายทั้งสามขึ้นรถปิกอัพขับออกไปไม่กี่ชั่วโมง ย่อมชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกที่หลบหนีเป็นผู้ร่วมกันฆ่าผู้ตายทั้งสามจริง ส่วนจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นการฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือทารุณโหดร้ายนั้นเห็นว่า แม้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองจะไม่มีพยานมาเบิกความให้เห็นว่า นับจากเวลาที่ผู้ตายทั้งสามถูกนำตัวขึ้นรถไปจนถึงเวลาที่ผู้ตายทั้งสามถูกฆ่า จำเลยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกที่หลบหนีได้กระทำอย่างไรบ้าง แต่จากบาดแผลที่ผู้ตายทั้งสามได้รับ ตามรายงานการตรวจศพของแพทย์ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ถึง ป.จ.3 ปรากฏว่าผู้ตายทั้งสามมีบาดแผลที่บริเวณศีรษะเป็นจำนวนมากบาดแผลส่วนใหญ่เกิดจากการถูกตีด้วยของแข็งที่มีน้ำหนักมากจนกระโหลกศีรษะของแต่ละคนแตกกระจายทั่วไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมีเนื้อสมองออกมาจากบาดแผล สำหรับนายสมศักดิ์และนายชัชชัยยังพบเศษดินโคลนและน้ำในหลอดลมซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ตายทั้งสามถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองถูกทำลายจากของแข็งกระทบกระแทกและขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ ชี้ให้เห็นว่าก่อนผู้ตายทั้งสามจะถึงแก่ความตายได้ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกใช้ของแข็งไม่มีคมทุบตีที่บริเวณศีรษะอย่างรุนแรงหลายครั้งอย่างโหดเหี้ยม จนกะโหลกศีรษะแตกกระจายเนื้อสมองไหลออกมาจากบาดแผล หลังจากนั้นยังถูกนำไปทิ้งน้ำ ทั้งยังมีชีวิตอยู่ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกที่หลบหนีมีเจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสามโดยการทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้น….

อนึ่ง เนื่องจากไม่ปรากฏทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3ใช้อาวุธปืนในการทำร้ายผู้ตายทั้งสามด้วย ดังนั้นอาวุธปืนพกขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองบรรจุปืน 1 ซอง และอาวุธปืนพกขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซอง ซึ่งยึดมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งริบ จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ และอาวุธปืนดังกล่าวก็มีทะเบียนไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดด้วยอันจะพึงริบได้ ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบอาวุธปืนและซองบรรจุกระสุนปืนของกลางดังกล่าวจึงไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 และที่ 6 คืนอาวุธปืนพกขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซอง และอาวุธปืนพกขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซองแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share