แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายกัน จะมาเป็นโจทก์ฟ้องคู่วิวาทฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้
ย่อยาว
นายกางโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2494 เวลากลางวันนายบุญ นายตา จำเลยที่ 1-2 สมคบกันทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ใช้จอบตีโจทก์ 1 ที ถูกที่หูขวา เป็นบาดแผลสาหัสโลหิตไหล จำเลยที่ 2 ใช้มีดหัวเสียมตีโจทก์ 1 ที ถูกที่คอด้านซ้ายฟกช้ำ ไม่มีแผลทั้งนี้จำเลยมีเจตนาจะฆ่าโจทก์ให้ตาย หากแต่มีผู้มาช่วยเสียทันโจทก์จึงไม่ตายแต่โจทก์ต้องทนทุกขเวทนา และประกอบการหาเลี้ยงชีพไม่ได้เกินกว่า 20 วัน และในเวลาต่อมานั้นนายบกจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน กลับมีเจตนาจะช่วยเหลือจำเลยที่ 1-2ให้พ้นอาญา ได้เอามีดกรีดหน้าจำเลยที่ 1 ให้เป็นบาดแผลขึ้นแล้วนำความเท็จไปร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวนให้หลงเชื่อเหตุเกิดที่ตำบลพุแคและตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรีขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 60, 256, 254, 118, 142, 154
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะตัวนายบกจำเลยเสีย โดยโจทก์ไม่ส่งหมาย และเมื่อไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้รับฟ้องไว้พิจารณาเฉพาะข้อหาฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่นายตาจำเลยรับว่าได้ใช้จอบตีนายกางไปโดยป้องกันตัว
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาคดีนี้รวมกับคดีแดงที่ 150/2495 ซึ่งนายบุญเป็นโจทก์ นายกางเป็นจำเลย แล้วเชื่อว่านายบุญนายตาจำเลยได้ทำร้ายร่างกายนายกางจริง พิพากษาว่านายบุญนายตาจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 256, 63 ให้จำคุกไว้คนละ 2 ปี กับให้ยกฟ้องสำนวนที่นายบุญเป็นโจทก์เสีย ปล่อยนายกางพ้นข้อหาไป
นายบุญ นายตา อุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวน
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า รูปคดีต้องฟังว่านายกางทำร้ายนายบุญด้วย คงรับกันอยู่แล้วว่าได้มีการทะเลาะกันขึ้นก่อนกรณีเห็นได้ชัดว่าเป็นการสมัครใจวิวาทกัน ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นผู้กระทำผิดร่วมกันฝ่ายใดจะมาฟ้องขอให้ลงโทษอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1390/2479 ระหว่างนายยิ้วชุก แซ่กอ โจทก์นายหยุ่นฉาง แซ่โหกับพวกจำเลยพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยนายบุญนายตาพ้นข้อหาไป ส่วนสำนวนที่นายบุญเป็นโจทก์ คงพิพากษายืน นายกางโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาสำนวนนี้แล้ว เห็นว่า คำเบิกความของตัวโจทก์และนางเข็ม นางคำบิน พยานโจทก์ในชั้นศาลขัดกับชั้นสอบสวนโดยในชั้นสอบสวนคนทั้งสามให้การว่านายบุญจำเลยเรียกโจทก์ไปหานางเข็มกับนางคำบินกำลังถอนกล้าอยู่ ได้หยุดดู ไม่ปรากฏว่าได้เดินตามไปทั้งไม่ปรากฏว่ามีนายจุ้ม นายรด มาพักอยู่ที่กระท่อมนาโจทก์กับนายบุญโต้เถียงกันเรื่องการทำหัวคันนาแดนแล้วก็เกิดทำร้ายกัน อาจเป็นเพราะแผนที่เกิดเหตุซึ่งนายสวัสดิ์ปลัดอำเภอเมืองสระบุรีไปทำมานั้น มีหัวปลวกและต้นสาบเสือบัง มองไม่เห็นกันมาชั้นศาลโจทก์กับนางเข็มนางคำบินจึงเบิกความบิดผันไปว่า เมื่อนายบุญจำเลยเรียกโจทก์แล้ว นางเข็มกับนางคำบินได้เดินตามมาหยุดดูอยู่ห่างราว 10 วาไม่มีอะไรบ้าง ทั้งมีนายจุ้มนายรดมาพักอยู่ที่กระท่อมนา โจทก์กับนายบุญจำเลยโต้เถียงกันเรื่องเปิดน้ำออกจากนา จำเลยทั้งสองทำร้ายโจทก์ นางเข็มนางคำบินร้องขึ้นนายจุ้มนายรดถือไม้คานมาคนละอัน จำเลยทั้งสองจึงหนีไป ซึ่งไม่ตรงกับชั้นสอบสวนและขัดกับแผนที่เกิดเหตุ ยากที่จะฟังคำเบิกความชั้นศาลว่าเป็นความจริง ข้อสำคัญคงรับกันว่า ได้มีการโต้เถียงกันก่อนแล้วทำร้ายกัน นายบุญจำเลยก็มีบาดแผล คำพยานโจทก์ฟังไม่ถนัดว่าบาดแผลของนายบุญจำเลยนั้นเกิดจากการแกล้งทำขึ้นจึงต้องฟังว่าเป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายกันและกันฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยย่อมไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องดังตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์อ้างมา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นคงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย