คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1885/2521

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำไม่เป็นความผิด ก็คือคดีไม่มีมูล ศาลไต่สวนพยานโจทก์ จำเลยส่งเอกสารให้พยานโจทก์รับรองในการซักค้านได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยคดีไม่มีมูล โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อ 1. โจทก์ฎีกาว่า ในการไต่สวนมูลฟ้องศาลควรฟังว่า คดีมีมูลหรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์ได้ดำเนินการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานจำเลยเป็นการพิจารณามิใช่เป็นการฟังมูลคดี เป็นการขัดต่อกระบวนวิธีพิจารณาความอาญานั้น เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องปรากฏชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขนาดเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องย่อมมีความหมายว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลนั่นเอง เป็นการเน้นให้หนักแน่นยิ่งขึ้นเท่านั้นจึงไม่ขัดต่อกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาแต่อย่างใด

ข้อ 2. โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่ากำแพงหรือเขื่อนที่โจทก์ก่อสร้างไว้ อันเป็นต้นเหตุที่เกิดข้อพิพาทในคดีนี้เห็นได้ตามธรรมดาว่ายื่นล้ำเข้าไปในคลองขุนชาติ ซึ่งอยู่นอกหลักเขตที่ดินของโจทก์ เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน เพราะไม่มีพยานโจทก์คนใดอ้างว่า เห็นได้ตามธรรมดาว่า แนวสันเขื่อนรุกล้ำคลองขุนชาติ ส่วนพยานหลักฐานเช่นเอกสารหมาย จ.2 กลับไม่รับฟังนั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ฟังจากคำเบิกความของตัวโจทก์ นายสิทธิรัตน์พยานโจทก์ประกอบกับแผนที่แสดงเขตที่ดินหมายเลข 3 ท้ายฟ้อง และภาพถ่ายหมาย ล.2 ถึง ล.4 ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวน จึงไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน ส่วนเอกสารหมาย จ.2 นั้นก็บันทึกไว้แต่เพียงว่าที่ดินที่โจทก์นำรังวัดซึ่งได้ปักหลักเขตที่ดินและเสาปูนไว้มิได้มีการรุกล้ำคลองขุนชาติแต่อย่างใดเท่านั้น แต่กำแพงหรือเขื่อนที่โจทก์ก่อสร้างไว้อยู่นอกหลักเขตที่ดินและเสาปูนดังกล่าว เอกสารหมาย จ.2 จึงไม่มีข้อเท็จจริงอะไรที่จะมารับฟังเป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ไม่หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์แก่โจทก์ชอบแล้ว

ข้อ 3. โจทก์ฎีกาว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยไม่มีสิทธิอ้างพยานต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 แต่ศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 ที่จำเลยส่งศาลเป็นหลักในการพิจารณาจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 เป็นภาพถ่ายจำเลยพยานวัตถุที่เกิดเหตุ ทนายจำเลยส่งศาลเพื่อซักค้านเมื่อตัวโจทก์และพยานโจทก์เบิกความโจทก์และพยานโจทก์ก็ได้เบิกความรับรองภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4ว่าถูกต้องแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง หากแต่เป็นเอกสารที่โจทก์และพยานโจทก์เบิกความถึงและทนายจำเลยนำส่งศาล เพื่อประกอบถ้อยคำของโจทก์ให้ปรากฏรายละเอียดให้ชัดเจนเท่านั้น จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165”

พิพากษายืน

Share