แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยลงชื่อท้ายคำให้การซึ่งได้หมายเหตุในช่องที่จำเลยลงชื่อว่า”ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องรอฟังคำสั่งศาล การที่ศาลมีคำสั่งอย่างใดในวันที่จำเลยยื่นคำให้การ ก็ต้องถือว่าจำเลยผู้ยื่นคำให้การนั้นได้รับทราบคำสั่งของศาลแล้ว
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าไม่จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงจากท้องสำนวน และที่คู่ความแถลงรับได้ความว่าในการส่งหมายเรียกให้จำเลยที่ 2 แก้คดีนั้นได้กระทำโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์ โดยแจ้งกำหนดวันแก้คดีและวันนัดสืบพยานโจทก์ไปด้วยเลยทีเดียว ส่วนจำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกแล้วและได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดศาลชั้นต้นรับคำให้การจำเลยที่ 1 และสั่งในคำให้การว่า “นัดสืบพยานโจทก์วันที่21 กันยายน 2522 เวลา 9.00 น.” ตามวันนัดที่ได้ประกาศทางหนังสือพิมพ์ ถึงวันนัดจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลจะต้องสั่งให้โจทก์นำส่งหมายแจ้งวันนัดสืบพยานให้จำเลยที่ 1 ทราบ เมื่อจำเลยที่ 1 หรือทนายจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับหมายแจ้งวันนัดจะถือว่าจำเลยที่ 1 จงใจขาดนัดพิจารณาไม่ได้นั้น ศาลฎีกาว่าท้ายคำให้การได้หมายเหตุในช่องที่ลงชื่อจำเลยว่า “ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องรอฟังคำสั่งของศาล เมื่อศาลมีคำสั่งในวันนั้นประการใด ก็ต้องถือว่าจำเลยผู้ยื่นคำให้การนั้นรับทราบ คดีนี้ศาลชั้นต้นได้สั่งรับคำให้การและกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไปเลยทีเดียวตรงกับวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ไปแล้ว จึงถือว่าคำสั่งของศาลที่ได้สั่งในคำให้การของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้รับทราบแล้ว ไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องออกหมายแจ้งวันนัดแก่จำเลยที่ 1 อีก เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดโดยไม่อาจจะอ้างเหตุผลความจำเป็นอย่างอื่น ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 จงใจขาดนัดพิจารณา”
พิพากษายืน