คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5757/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการที่จำเลยจ้างโจทก์ให้เลี้ยงไก่ของจำเลยเป็นจำนวนเงิน 48,000 บาท จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การปฏิเสธว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์เพราะเมื่อครั้งที่โจทก์รับเลี้ยงไก่ให้จำเลย โจทก์ก็เป็นหนี้จำเลยจากการที่จำเลยจ่ายค่าอุปกรณ์การเลี้ยงไก่เป็นจำนวนเงิน 17,715 บาท จำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยใหม่เป็นว่าโจทก์จะเป็นผู้ซื้อลูกไก่ อาหารไก่ อุปกรณ์การเลี้ยงไก่จากจำเลย โดยจำเลยจะต้องเป็นผู้ซื้อไก่จากโจทก์ครั้งนี้โจทก์เป็นหนี้จำเลยเป็นเงิน 136,283 บาท การที่จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การดังกล่าว เท่ากับว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์อีกเช่นกัน ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ตามคำให้การที่ขอแก้ไขใหม่จึงเป็นไปตามประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้เดิมนั่นเอง ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็ได้นำสืบปฏิเสธตามคำให้การและคำร้องขอแก้ไขคำให้การแล้วดังที่ศาลอุทธรณ์อนุญาต ดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาให้คดีเสร็จไปได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2534 จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ทั้งสองเลี้ยงไก่ของจำเลยโดยมีข้อตกลงว่าจำเลยเป็นผู้จัดหาลูกไก่ อาหารยารักษาโรคตลอดจนอุปกรณ์การเลี้ยงมาให้โจทก์ทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองเลี้ยงลูกไก่ของจำเลยได้ 2 เดือน จำเลยจะมารับไก่ที่โจทก์ทั้งสองเลี้ยงไป ตกลงค่าจ้างเลี้ยงไก่ตัวละ4 บาท โดยจำเลยจะต้องชำระให้โจทก์เมื่อจำเลยมารับไก่ไปจากเล้าที่โจทก์ทั้งสองเลี้ยง จากข้อตกลงดังกล่าวจำเลยได้นำลูกไก่มาให้โจทก์ทั้งสองเลี้ยง 2 ครั้ง จำนวน 24,000 ตัวครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2535 จำเลยนำลูกไก่พร้อมอาหาร ยาและอุปกรณ์การเลี้ยงไก่มาให้โจทก์ทั้งสองเลี้ยงจำนวน 12,000 ตัว โจทก์ทั้งสองเลี้ยงไก่ให้จำเลยตามข้อตกลง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 จำเลยมารับไก่ไปจากโจทก์ทั้งสองหมดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระค่าจ้างจำนวน 48,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสองตามข้อตกลง ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองเคยรับจ้างจำเลยเลี้ยงไก่หลายครั้ง โดยจำเลยเป็นผู้นำลูกไก่ อาหาร ยารักษาโรคตลอดจนอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ไปให้โจทก์ทั้งสอง ทุกครั้งเมื่อจำเลยรับไก่ไปจากโจทก์ทั้งสองโจทก์จำเลยจะคิดหักบัญชีกันโดยจำเลยจะชำระค่าเลี้ยงไก่ให้โจทก์ทั้งสองและโจทก์ทั้งสองจะคืนอาหารไก่และอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ต่าง ๆ ที่เหลือจากการเลี้ยงให้จำเลย จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2535 โจทก์ทั้งสองรับจ้างจำเลยเลี้ยงไก่เป็นชุดสุดท้าย ในครั้งนี้โจทก์ทั้งสองได้เบิกเงินล่วงหน้าจากจำเลยจำนวน 15,000 บาท ต่อมาเมื่อจำเลยได้รับไก่จากโจทก์ทั้งสองและคิดหักบัญชีกันเช่นที่เคยปฏิบัติมาโดยจำเลยได้หักเงินที่โจทก์ทั้งสองเบิกล่วงหน้าออกจากค่าจ้างจำเลย 48,000 บาท และจำเลยได้ชำระค่าจ้างส่วนที่เหลือให้โจทก์ทั้งสองครบถ้วนแล้ว โจทก์ทั้งสองก็คืนอาหารไก่และอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ที่เหลือให้จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนวันสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2537 ว่า รายละเอียดที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมมาก จึงให้จำเลยจัดทำคำให้การฉบับสมบูรณ์ยื่นเข้ามาแทนแล้วจะพิจารณาสั่ง จำเลยได้จัดคำให้การฉบับสมบูรณ์ยื่นต่อศาลในวันเดียวกับที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเป็นใจความว่าโจทก์ทั้งสองรับจ้างจำเลยเลี้ยงไก่จำนวน 2 ครั้ง เมื่อจำเลยมารับไก่ที่เลี้ยง จำเลยได้ชำระค่าเลี้ยงนั้นให้โจทก์ทั้งสองครบถ้วนแล้ว ต่อมาครั้งสุดท้ายโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงกันว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เลี้ยงไก่เองโดยจะซื้อลูกไก่ อาหารไก่อุปกรณ์การเลี้ยงไก่จากจำเลยและจำเลยเป็นผู้ซื้อไก่จากโจทก์ทั้งสองเมื่อมารับไก่แล้วคิดบัญชีกัน ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหนี้จำเลย136,283 บาท ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2537โดยเห็นว่าเป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ แตกต่างจากคำให้การฉบับเดิม มิใช่การแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเพียงเล็กน้อยและจำเลยยื่นเพิ่มเติมคำให้การพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(3)ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสคู่ความได้สืบพยานหลักฐานตามที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัย ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก แล้วพิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานหลักฐานตามคำให้การเพิ่มเติมของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(3) แล้วศาลอุทธรณ์ภาค 3 ควรจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความตามประเด็นในคำให้การที่อนุญาตให้แก้ไขหรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการที่จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองให้เลี้ยงไก่ของจำเลยเป็นจำนวนเงิน 48,000 บาท จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การตามคำให้การฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2537ปฏิเสธว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสอง เพราะเมื่อครั้งที่โจทก์ทั้งสองรับเลี้ยงไก่ให้จำเลย โจทก์ทั้งสองก็เป็นหนี้จำเลยจากการที่จำเลยจ่ายค่าอุปกรณ์การเลี้ยงไก่เป็นจำนวนเงิน17,715 บาท จำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้ตกลงกับจำเลยใหม่เป็นว่าโจทก์ทั้งสองจะเป็นผู้ซื้อลูกไก่ อาหารไก่ อุปกรณ์การเลี้ยงไก่จากจำเลย โดยจำเลยจะต้องเป็นผู้ซื้อไก่จากโจทก์ทั้งสอง ครั้งนี้โจทก์ทั้งสองเป็นหนี้จำเลยเป็นเงิน 136,283 บาทการที่จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การดังกล่าว เท่ากับว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสองอีกเช่นกัน ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ตามคำให้การที่ขอแก้ไขใหม่จึงเป็นไปตามประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้เดิมนั่นเอง ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็ได้นำสืบปฏิเสธตามคำให้การและคำร้องขอแก้ไขคำให้การแล้วดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต ดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาให้คดีเสร็จไปได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
พิพากษายืน

Share