คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าตามใบส่งของชั่วคราวระหว่างวันที่5มกราคม2533ถึงวันที่3มีนาคม2533เมื่อนับถึงวันฟ้อง(วันที่13มีนาคม2535)เกินกว่า2ปีสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าของโจทก์จึงขาดอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/34(1)ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยมิได้ซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจำเลยจึงมีอายุความ5ปีคดีไม่ขาดอายุความนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าจำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทคดีย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2533 ถึงวันที่20 มีนาคม 2533 จำเลยซื้อสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ตามใบส่งของชั่วคราว 34 ฉบับ รวมเป็นเงิน 42,062 บาท จำเลยได้รับสินค้าไปแล้ว แต่ไม่ชำระราคา โจทก์ทวงถาม จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าสินค้าดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2533 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 13มีนาคม 2535) เป็นค่าดอกเบี้ย 6,256.71 บาท รวมกับราคาสินค้าเป็นเงิน 48,318.71 บาท และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงิน42,062 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องจริง แต่ได้ชำระราคาสินค้าให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2533 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2533 ตามสำเนาใบส่งของชั่วคราวท้ายฟ้องฉบับที่ 1 ถึง 32 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องเรียกค่าสินค้าตามใบส่งของชั่วคราวทั้ง 32 ฉบับ ภายในกำหนด 2 ปี แต่โจทก์เพิ่มจะฟ้องเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2535 ซึ่งเกินกว่า 2 ปี จึงขาดอายุความ หากจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ไม่เกิน 2,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,460 บาท (ตามใบส่งของชั่วคราวฉบับที่ 33 และ 34) แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2535 อันเป็นวันผิดนัด(คือวันครบกำหนดตามหนังสือทวงถาม) จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่คิดถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 6,256.71 บาท ตามขอ
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยซื้อสินค้าหลายครั้งรวมเป็นหนี้ก้อนเดียวต้องนับอายุความตั้งแต่วันซื้อครั้งสุดท้าย ซึ่งยังไม่ขาดอายุความ2 ปี อีกประการหนึ่งเป็นการซื้อไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยเองจึงมีอายุความ 5 ปี ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะเรื่องอายุความ 5 ปีโดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 1 ถึงที่ 34เฉพาะแผ่นที่ 1 ถึงแผ่นที่ 32 เป็นใบส่งของชั่วคราวระหว่างวันที่5 มกราคม 2533 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2533 เมื่อนับถึงวันฟ้อง(วันที่ 13 มีนาคม 2535) จึงเกินกว่า 2 ปี สิทธิเรียกร้องค่าสินค้าของโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(1) ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า จำเลยมิได้ซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลย ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจำเลย จึงมีอายุความ 5 ปี คดีไม่ขาดอายุความนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าจำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 1รับวินิจฉัยให้ ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกฎีกาของโจทก์

Share