คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5752/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้เบิกเงินไปจากบัญชี เริ่มเบิกเงินเมื่อใด ครั้งสุดท้ายวันใดจำนวนเงินที่เบิกไปจากบัญชีเบิกไปตามสัญญาฉบับไหน แต่ละสัญญาและรวมทั้งสองสัญญาเป็นเงินจำนวนเท่าใดโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราใดเมื่อครบกำหนดตามสัญญามีจำนวนหนี้แต่ละสัญญาอย่างไร เงินฝากของจำเลยที่โจทก์นำมาหักชำระหนี้เป็นเงินฝากของจำเลยคนไหน มีจำนวนเท่าใดและนำไปหักหนี้ตามสัญญาฉบับไหน ยอดหนี้ที่ยังเหลืออยู่เป็นหนี้ตามสัญญาฉบับไหน โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3จะต้องรับผิดในหนี้จำนวน 378,397.80 บาท แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดในวงเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ตามคำฟ้องไม่ได้กล่าวไว้ว่ามีการเบิกเงินไปจากบัญชีครบวงเงินจำนวน 200,000 บาท เมื่อใดเพราะตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี มิใช่คิดจากวันทำสัญญา คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน378,397.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน338,476.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 200,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ในวงเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 1347ตำบลทับคล้อ กิ่งอำเภอทับคล้อ (ตะพานหิน) จังหวัดพิจิตรพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน378,397.80 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 338,476.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529 และให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 1347 ตำบลทับคล้อ กิ่งอำเภอทับคล้อ (ตะพานหิน)จังหวัดพิจิตร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์เฉพาะในส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ตามจำนวนที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดจนครบถ้วน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องรับผิดนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2529 จำเลยทั้งสามร่วมกันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี รายละเอียดปรากฏตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2529 จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเพิ่มวงเงินอีก 100,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 11 ต่อปี รายละเอียดปรากฏตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารท้ายฟ้องหมาย 4 ในการนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 200,000 บาท ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและจำเลยที่ 4 ได้เข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2529 หลังจากทำสัญญาแล้ว จำเลยได้เบิกเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และได้นำเงินเข้าบัญชีอันเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเงินฝากของจำเลยมาหักชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2530 แต่ยังคงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน338,476.20 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แต่จำเลยที่ 1ไม่ชำระ โจทก์จึงมอบให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญากู้เบิกเกินบัญชีและบอกกล่าวบังคับจำนองพร้อมทวงถามไปยังจำเลยทั้งสี่ให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือและใบตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมาย 8, 9, 10 และ 11 เมื่อคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นจำนวน 338,476.20 บาท ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15พฤษภาคม 2530 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ยจำนวน 39,921.60 บาทรวมยอดหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน378,397.80 บาท หนี้จำนวนนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมและผู้จำนอง ขอให้บังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จจะเห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้เบิกเงินไปจากบัญชีเริ่มเบิกเงินเมื่อใดครั้งสุดท้ายวันใด จำนวนเงินที่เบิกไปจากบัญชีเบิกไปตามสัญญาฉบับไหน แต่ละสัญญาและรวมทั้งสองสัญญาเป็นเงินจำนวนเท่าใดโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราใด เมื่อครบกำหนดตามสัญญามีจำนวนหนี้แต่ละสัญญาอย่างไร เงินฝากของจำเลยที่โจทก์นำมาหักชำระหนี้เป็นเงินฝากของจำเลยคนไหน มีจำนวนเท่าใด และนำไปหักหนี้ตามสัญญาฉบับไหน ยอดหนี้ที่ยังเหลืออยู่เป็นหนี้ตามสัญญาฉบับไหน โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องรับผิดในหนี้จำนวน378,397.80 บาท แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดในวงเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ตามคำฟ้องไม่ได้กล่าวไว้ว่ามีการเบิกเงินไปจากบัญชีครบวงเงินจำนวน200,000 บาท เมื่อใด เพราะตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่มีการเบิกเงินเกินบัญชีไม่ใช่คิดจากวันทำสัญญา คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share