แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการครูในสังกัดของโจทก์ ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษาต่อ โดยทำสัญญากับโจทก์ว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจำเลยที่ 1 ต้องทำงานชดใช้ตามระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะต้องชดใช้เบี้ยปรับ ดังนี้ แม้จำเลที่ 1 จะมาช่วยสอนในระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้ลา ก็จะนำเวลาที่มาช่วยสอนมาคิดหักออกจากเวลาที่จำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติราชการชดใช้หลังจากครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลาหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้ลาไปศึกษาต่อ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วไม่ยอมรับราชการต่อ จึงต้องชดใช้เบี้ยปรับตามสัญญาซึ่งมีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าปรับจำนวน ๕๓,๖๕๕ บาท โดยให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิด ๑๕,๘๐๖ บาท จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิด ๔๐,๘๘๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้ลาทั้งหมด ๓ ปี แต่ระยะ ๒ ปีแรก ทางโรงเรียนที่จำเลยที่ ๑ สอนไม่ยอมให้จำเลยที่ ๑ หยุดการสอน จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติราชการชดใช้ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากจำเลยอื่นก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๑๒,๐๔๒ บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงิน ๓๐,๖๖๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ ๑ ไปศึกษาเพิ่มเติมประกอบกับสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ได้ทำไว้กับโจทก์มีผลให้จำเลยที่ ๑ ได้รับสิทธิที่จะไม่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่ทำการสอนที่โรงเรียนในระหว่างระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตตามสัญญา ดังนั้นหากจำเลยที่ ๑ ได้มาทำการสอนที่โรงเรียนในระหว่างระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลาราชการจริงดังที่อ้างก็ตาม ก็จะนำเวลาที่มาช่วยทำการสอนอันมิใช่หน้าที่ราชการที่จำเลยที่ ๑ จำต้องปฏิบัติในระหว่างนั้นมาคิดหักกับเวลาราชการที่จำเลยที่ ๑ จะต้องปฏิบัติชดใช้หลังครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตแล้วมิได้ ทั้งข้อเท็จจริงก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ไปช่วยทำการสอนในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลา ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ กลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ไม่ครบ ๔ ปี ตามสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดใช้ค่าปรับในจำนวนลดลงตามส่วนของเวลาที่ได้ปฏิบัติราชการไปบ้างแล้วและจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน
พิพากษายืน