คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5746/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทที่จำเลยต้องจดทะเบียนโอนขายแก่โจทก์มีราคา160,000 บาท และศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญาให้แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งจำนวน 25,000 บาท ดังนั้นฎีกาจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ยกฟ้องโจทก์ จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับราคาที่ดินพิพาทรวมกับค่าเสียหายดังกล่าว คิดเป็นเงินรวม 185,000 บาท ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248วรรคหนึ่ง แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตหรือโกงโจทก์จึงมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ไม่เสียหาย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญา จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่ดินเฉพาะส่วนตามโฉนดเลขที่ 2306เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ให้แก่โจทก์ราคาไร่ละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน160,000 บาท จำเลยรับเงินมัดจำจากโจทก์แล้วจำนวน 85,000 บาทส่วนที่เหลือจะชำระในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่จำเลยผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนตามโฉนดเลขที่ 2306 ของจำเลยให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนเจตนาของจำเลย โดยให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลืออีกจำนวน75,000 บาท จากโจทก์ เมื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์แล้วให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 170,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยพร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งหมด โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ และบอกเลิกสัญญา พร้อมทั้งริบเงินมัดจำจำนวน 85,000 บาทด้วย โจทก์ไม่เสียหายและจำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปทำหนังสือสัญญาและจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2306 เฉพาะส่วนของจำเลยแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลย จำนวน49,631 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยไปทำหนังสือสัญญาจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2306 เฉพาะส่วนของจำเลยแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลยจำนวน 49,631 บาท ซึ่งที่ดินพิพาทที่จำเลยต้องจดทะเบียนโอนขายแก่โจทก์ดังกล่าวมีราคา 160,000 บาทและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญาให้แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งจำนวน 25,000 บาท ดังนั้นฎีกาจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ยกฟ้องโจทก์ จึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับราคาที่ดินพิพาทรวมกับค่าเสียหายดังกล่าว คิดเป็นเงินรวม 185,000 บาท ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา ฎีกาจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตหรือโกงโจทก์ จึงมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ไม่เสียหาย ซึ่งเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญา จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายที่กล่าวในข้างต้นที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share