คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 328/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเขียนจดหมายนัดพาผู้เสียหายอายุ 14 ปี ไปอยู่ด้วยกัน บอกให้เอาเงินและของมีค่าไปด้วย จำเลยได้พาผู้เสียหายไปเบิกเงินจากธนาคารทั้งหมดเอามาเก็บไว้เสียเองและแบ่งให้มารดาจำเลยครึ่งหนึ่ง จำเลยพาผู้เสียหายย้ายที่อยู่หลายแห่ง เมื่อมารดาผู้เสียหายตามไปพบที่ต่างจังหวัด จำเลยหลบหนีการจับกุมไปได้ ไม่กล้าสู้ความจริงว่าพาไปเป็นภรรยา ไม่มาตกลงกัน พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยยกความรักใคร่ฉันชู้สาวมาอ้างกลบเกลื่อนความคิดกระทำอนาจาร และหลอกเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้เสียหาย จำเลยมีภรรยาแล้ว และขณะพาผู้เสียหายหลบหนี จำเลยก็ยังอยู่กินกับภรรยาดังนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 จำคุก 4 เดือน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าเด็กหญิงเอื้อมพรผู้เสียหายเป็นบุตรของนายประเสริฐ ดาวรัตนหงษ์และนางเล็ก ถนอมผิว นายประเสริฐและนางเล็กหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุ 14 ปีอยู่ในความปกครองของนางเล็กและเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีจารุวัฒนากุล ส่วนจำเลยมีภรรยาแล้ว และผู้เสียหายเคยเห็นภรรยาจำเลยอยู่กินที่บ้านจำเลยอย่างเปิดเผย ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 วัน จำเลยเขียนจดหมายมาชักชวนผู้เสียหายให้หนีจากมารดาไปอยู่กับจำเลย โดยนัดให้ไปพบจำเลยที่ใต้สะพานเนาวจำเนียร ในวันที่ 8 ตุลาคม 2522 เวลา 7 ถึง 8 นาฬิกาและให้ผู้เสียหายเอาสมุดฝากเงินธนาคารและของมีค่าในบ้านไปด้วยผู้เสียหายได้รับจดหมายของจำเลยแล้วไม่อยากจะเล่าเรียนหนังสือคิดจะตามไปอยู่กับจำเลย ครั้นถึงวันนัดผู้เสียหายเอาเสื้อผ้าสมุดฝากเงินและสร้อยคอนาก 1 เส้นไปพบจำเลยจำเลยพาผู้เสียหายไปเบิกเงินที่ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาวงเวียนใหญ่ จำนวน 40,000 บาทเศษ แล้วพาผู้เสียหายไปพักตามบ้านเพื่อนในกรุงเทพมหานครหลายแห่ง หลังจากนั้นได้พาไปพักบ้านญาติของจำเลยที่อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ระหว่างนั้นจำเลยร่วมหลับนอนได้เสียกับผู้เสียหายหลายครั้ง เมื่ออยู่ที่อำเภอชุมแพได้ประมาณ 15 วัน จำเลยพาผู้เสียหายกลับกรุงเทพมหานครและพักอยู่ที่บ้านญาติของจำเลย ในคืนนั้นเองมารดาของจำเลยได้พาจำเลยและผู้เสียหายไปพักอยู่ที่บ้านนายสุชาติ กระทายขวัญบิดาของจำเลยที่จังหวัดตราดได้ประมาณ 15 วัน มารดาของผู้เสียหายตามไปพบผู้เสียหายที่บ้านบิดาจำเลย มารดาของผู้เสียหายไปบอกเจ้าพนักงานตำรวจจังหวัดตราดจับจำเลย แต่จำเลยหลบหนีไปได้ มารดาของผู้เสียหายพาผู้เสียหายกลับบ้านแล้วพาไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรืออีกมารดาผู้เสียหายสอบถามเรื่องเงินผู้เสียหายบอกว่าเงินใช้ไปไม่หมด ยังอยู่ที่มารดาของจำเลย 20,000 บาท เมื่อพนักงานสอบสวนเรียกมารดาจำเลยมาสอบถามถึงเงินจำนวนนี้ มารดาจำเลยก็ยอมคืนให้มารดาผู้เสียหาย ต่อมา วันที่ 14 ธันวาคม 2524 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้

จำเลยนำสืบว่า จำเลยกับผู้เสียหายชอบพอรักใคร่กันฉันชู้สาวมา3-4 ปีแล้ว ก่อนเกิดเหตุประมาณ 3-4 เดือน ผู้เสียหายเคยให้จำเลยพาหนีแต่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายรอไปก่อน จำเลยเคยมีภรรยาแล้ว แต่ได้เลิกกันก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2522 จำเลยเขียนจดหมายนัดพาผู้เสียหายหนีไปอยู่ด้วยกัน ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพบกันตามนัดแล้วผู้เสียหายไปถอนเงินจากธนาคาร หลังจากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายไปพักอยู่ตามบ้านเพื่อน ๆ ของจำเลยหลายแห่งเป็นเวลาหลายวัน จำเลยได้เสียกับผู้เสียหายเป็นสามีภรรยากันเรื่อยมา จำเลยได้นำเงินของผู้เสียหายไปฝากมารดาของจำเลยไว้ 20,000 บาท และบอกมารดาให้ไปสู่ขอผู้เสียหายให้จำเลยด้วย ต่อมาจำเลยพาผู้เสียหายไปอยู่กับบิดาที่อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด มารดาของผู้เสียหายตามไปพบได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย จำเลยจึงหลบหนี มารดาของผู้เสียหายพาผู้เสียหายกลับกรุงเทพมหานคร ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับว่าได้พาผู้เสียหายไปจริง โดยพาไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยได้เขียนจดหมายนัดพาผู้เสียหายไปอยู่ด้วยกัน ในจดหมายนั้นจำเลยบอกให้ผู้เสียหายเอาเงินและของมีค่าไปด้วย ทั้งยังแนะนำวิธีการต่าง ๆ ในการหลบหนีมารดาของผู้เสียหายไม่ให้ล่วงรู้และเสี้ยมสอนผู้เสียหายว่าหากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับได้ให้ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงอีก เมื่อผู้เสียหายไปพบจำเลยตามนัด จำเลยได้พาผู้เสียหายไปเบิกเงินจากธนาคารทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาทเศษทันที และจำเลยนำมาเก็บครอบครองไว้เสียเองแล้วจำเลยได้แบ่งเงินจำนวน 20,000 บาทไปให้มารดาของจำเลยไว้จำเลยไปพาผู้เสียหายหลบหนีย้ายที่อยู่หลายแห่ง แห่งสุดท้ายที่มารดาของผู้เสียหายตามไปพบที่จังหวัดตราด จำเลยก็หลบหนีพ้นไปจากการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่กล้าสู้ความจริงที่ว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปเป็นภรรยา ต่อจากนั้นจำเลยไม่ไปเจรจาตกลงกับมารดาผู้เสียหายเรื่องผู้เสียหายผิดวิสัยของการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเป็นภรรยา พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยดังกล่าวมานี้บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยอาศัยโอกาสที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อ่อนความคิดใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยยกความรักใคร่ฉันชู้สาวมาอ้างกลบเกลื่อนความคิดที่จำเลยมุ่งประสงค์กระทำอนาจารผู้เสียหาย และหลอกเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้เสียหายและของมารดาของผู้เสียหายโดยใช้ผู้เสียหายเป็นเครื่องมือดำเนินการอันทุจริตของจำเลยนอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าจำเลยมีนางอ๊อดเป็นภรรยา ขณะที่พาผู้เสียหายหลบหนีไปจำเลยยังอยู่กินฉันสามีภรรยากับนางอ๊อด จำเลยอ้างว่าได้เลิกกับนางอ๊อดภรรยาแล้วก่อนที่จะพาผู้เสียหายไปก็เป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อเป็นความจริง ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาของผู้เสียหายเพื่อการอนาจาร จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์กำหนดลงโทษจำเลยนั้นเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้เบาลงและรอการลงโทษจำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share