คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5746/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้สัญญาขายลดตั๋วจะไม่ปรากฏจำนวนเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลด แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า หลังจากทำสัญญาขายลดตั๋วแล้ว จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้นำเช็คพิพาทมาขายลดแก่โจทก์เป็นเงินเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คและแนบภาพถ่ายเช็คพิพาทมาท้ายฟ้องเป็นหลักฐานประกอบหนี้ที่จำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทมาขายลดให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาดังกล่าว จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้นำเช็คพิพาทมาขายลดให้แก่โจทก์ตามฟ้องถือว่าจำเลยยอมรับ ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวจึงฟังเป็นยุติและไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาขายลดตั๋วไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ต้องใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์นั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้แก่โจทก์ถึงกำหนดแล้วโจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามผิดนัดแล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญา จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และเป็นผู้สลักหลัง จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามสัญญาโดยไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องฟ้องผู้สั่งจ่ายเสียก่อนและไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการนำเช็คมาขายลดกับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ ขอให้จำเลยร่วมกันรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจำเลยทั้งสามให้การว่าโจทก์ต้องฟ้องผู้สั่งจ่ายก่อนคดีขาดอายุความแล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดเฉพาะดอกเบี้ย จำนวนไม่เกิน112,010 บาท โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้การรับข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2521 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วไว้กับโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4จำเลยที่ 1 ได้นำเช็ค 8 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังมาขายลดและรับเงินไปจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 3ทำหนังสือค้ำประกันตามเอกสารหมาย 21 ท้ายฟ้อง เช็ค 8 ฉบับดังกล่าวนี้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คแล้ว จำเลยไม่ชำระ
มีปัญหาว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาท 8 ฉบับจากจำเลยได้หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมรับผิดตามสัญญาขายลดตั๋วซึ่งมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะนำเช็คมาขายลดให้แก่โจทก์โดยกำหนดวงเงินไว้ 500,000 บาท และหากเช็คที่นำมาขายลดถึงกำหนดชำระแล้วเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ที่ลงในเช็คไปจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิงพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้สัญญาขายลดตั๋วดังกล่าวจะไม่ปรากฏจำนวนเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดไว้ก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าหลังจากทำสัญญาขายลดตั๋วแล้ว จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้นำเช็คพิพาทมาขายลดแก่โจทก์รวมเป็นเงินตามเช็คทั้งสิ้น 453,987 บาทและได้แนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทดังกล่าวมาท้ายฟ้องอันเป็นหลักฐานประกอบหนี้ที่จำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทมาขายลดให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาดังกล่าวจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้นำเช็คพิพาทมาขายลดให้แก่โจทก์ตามฟ้องแต่อย่างใด จึงถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงฟังเป็นยุติและไม่เป็นประเด็นแห่งคดีฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าตามสัญญาขายลดตั๋วไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และโดยที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์จะมีสิทธิฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คโดยที่โจทก์ไม่ดำเนินคดีแก่ผู้สั่งจ่ายก่อนได้หรือไม่และการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเลยทีเดียวเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมรับผิดตามสัญญาขายลดตั๋วคือเช็คพิพาททั้งแปดฉบับเมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้แก่โจทก์ถึงกำหนดแล้ว โจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้ ทั้งโจทก์ได้ทวงเตือนแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามผิดนัดแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 และเป็นผู้สลักหลังเช็คจำเลยที่ 3ในฐานะผู้ค้ำประกันและลูกหนี้ร่วมจำต้องร่วมรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามสัญญาโดยไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องฟ้องผู้สั่งจ่ายเสียก่อน และในกรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามิให้จำเลยทั้งสามใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามที่โจทก์ฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share