คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5741/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 จะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการริบทรัพย์ไว้เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติใดแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการให้นำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้บังคับ ทั้งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ก็ได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้นอกเหนือจากอำนาจริบทรัพย์ตามบทกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้น เมื่อจำเลยใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้าม ซึ่งจำเลยมีไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย จำนวน100 กระสอบ ปริมาตร 16.66 ลูกบาศก์เมตร รถยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2522 มาตรา 5, 9 พระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้ามพ.ศ. 2505 ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2526)ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2526 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33ริบถ่านไม้และรถยนต์บรรทุกของกลาง และจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ, 73, 74 จัตวาพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ, 73,74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 28พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2522 มาตรา 5, 9พระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. 2505 ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2526) ลงวันที่ 20 กรกฎาคม2526 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน ศาลมิได้ลงโทษปรับ จึงให้ยกคำขอให้จ่ายเงินสินบนนำจับเสีย ริบถ่านไม้ของกลาง ส่วนรถยนต์บรรทุกของกลางไม่ริบเพราะความผิดอยู่ที่มีถ่านไม้ไว้ในครอบครองเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และไม่อยู่ในบังคับให้ต้องริบตามมาตรา 74 ทวิ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์ของกลางด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ขอให้ริบรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33ไม่ได้ขอให้ริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 74 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะที่ต้องนำมาใช้บังคับในคดีนี้ทั้งรถยนต์ของกลางซึ่งใช้บรรทุกถ่านไม้ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางจึงเป็นการไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้ศาลลงโทษจำเลยฐานมีถ่านไม้อันเป็นป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 29 ทวิซึ่งศาลจะสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯมาตรา 74 ทวิไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ จะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการริบทรัพย์ไว้เป็นพิเศษแต่ก็ไม่มีบทบัญญัติใดที่แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการให้นำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ ทั้งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ก็ได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อในในการกระทำความผิดได้นอกเหนือจากอำนาจริบทรัพย์ตามบทกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนี้ ศาลจึงนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามซึ่งจำเลยมีไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายจำนวน 100 กระสอบ ปริมาตร 16.66 ลูกบาศก์เมตร รถยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลย่อมมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจริบรถยนต์ของกลางตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share