แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยกับผู้ตายจะเป็นสามีภรรยากัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะทำร้ายจำเลย ฉะนั้น เมื่อผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ ด่าและตบเตะทำร้ายจำเลยก่อนจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการประทุษร้ายจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวได้ ดังนั้น การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายดังกล่าวเพื่อยับยั้งผู้ตายมิให้ทำร้ายจำเลยอีก จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากการถูกทำร้าย แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ตบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่อย่างใด การที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายหลายครั้ง จนปรากฏบาดแผลที่ตัวผู้ตายถึง 5 แผล เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายนายเพยาว์หรือพะเยาว์ หลายครั้ง เป็นเหตุให้นายเพยาว์ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
จำเลยให้การรับว่า ได้ใช้มีดแทงผู้ตายจริง แต่ได้กระทำไปเพราะผู้ตายได้ด่าว่าจำเลยด้วยคำหยาบ ชกต่อยตบตีจำเลยหลายครั้ง จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ และจำต้องใช้มีดแทงผู้ตายเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน แต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ ประกอบกับมาตรา ๗๒ ให้จำคุกจำเลย ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะแต่โทษที่ศาลชั้นต้นลงมานั้นหนักเกินไป พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๒ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยแทงผู้ตายเพราะผู้ตายด่าและตบเตะจำเลยก่อน จนจำเลยได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายหลายทีโดยมีเจตนาฆ่า แต่จำเลยทำร้ายผู้ตายเพราะถูกผู้ตายด่าและตบเตะจำเลยก่อนจนจำเลยได้รับอันตรายแก่กาย ผู้ตายกระทำไปเพราะความมึนเมาและไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้นไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาเห็นควรฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนเพิ่มเติม ซึ่งได้ความจากพยานโจทก์ว่า จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากันผู้ตายชอบดื่มสุราจนมึนเมาและทุบตีทำร้ายร่างกายจำเลยเป็นประจำ วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายนัดกันไปจดทะเบียนหย่า ณ ที่ว่าการเขตบางกะปิ จำเลยไปรอผู้ตายตามนัด แต่ผู้ตายผิดนัด เมื่อผู้ตายมาถึงที่ว่าการเขตบางกะปิจำเลยต่อว่าผู้ตาย ผู้ตายจึงด่าและตบเตะจำเลย จำเลยจึงใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายหลายครั้ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จำเลยกับผู้ตายจะเป็นสามีภริยากัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะทำร้ายจำเลย ฉะนั้น เมื่อผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ ด่าและตบเตะทำร้ายจำเลยก่อนจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการประทุษร้ายจำเลยฝ่ายเดียวจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวได้ ดังนั้น การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายดังกล่าวเพื่อยับยั้งผู้ตายมิให้ทำร้ายจำเลยอีก จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากการถูกทำร้าย แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ตบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่อย่างใด การที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายหลายครั้ง จนปรากฏบาดแผลที่ตัวผู้ตายถึง ๕ แผล คือที่ลำตัวข้างซ้าย หน้าอกข้างซ้าย บริเวณลิ้นปี่ เอวข้างซ้ายและหลังข้างขวา คมมีดทะลุเข้าช่องท้องถูกตับ ตับอ่อน กระเพาะอาหารและไตซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันแต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบกับมาตรา ๖๘, ๖๙ ให้จำคุก ๒ ปี เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๖