คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2773/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลย ในข้อหาว่า โจทก์เป็นผู้ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง ที่โจทก์จ้างจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการศึกษาของโจทก์ และโจทก์ได้สั่งให้ จำเลยที่ 1 ระงับการก่อสร้างเนื่องจากโจทก์ได้ทำการออกแบบแปลนตัวอาคารที่ก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของเอกชนโดยความผิดพลาดของโจทก์เองและเรียกร้องให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 จึงมีประเด็นว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ และจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เท่าใด ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่มีสิทธิบอกกล่าวเลิกสัญญากับโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยในคดีนี้ในข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาก่อสร้างฉบับเดียวกันโดยอ้างเหตุเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าโจทก์ได้ออกแบบแปลนตัวอาคารผิดพลาดโดยเหตุที่ที่ดินบางส่วนทางด้านทิศใต้ของบริเวณที่ดินที่ก่อสร้างเป็นของเอกชน ต่อมาโจทก์ได้จัดซื้อที่ดินของเอกชนดังกล่าวแล้ว จึงขอให้จำเลยทั้งสองทำการก่อสร้างต่อไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ก่อสร้างและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ มูลคดีทั้งสองคดีนี้มีว่าคู่ความฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการศึกษาของโจทก์ โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเรื่องก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการศึกษารุกล้ำที่ดินของเอกชนเป็นข้อสำคัญของคดีจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 กรณีมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตาม มาตรา 148 เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ คดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้ศาลชั้นต้นจะรอคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลของคดีก่อนจนถึงที่สุดก็ตาม
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการประเภทไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ 1 จึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการของกองบัญชาการศึกษากับจำเลยที่ ๑ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต้องทำงานให้เสร็จภายใน ๖๐๕ วัน ต่อมาเมื่อได้ทำการก่อสร้าง ปรากฏว่ารูปแผนผังรายการก่อสร้างของโจทก์ซึ่งกำหนดตำแหน่งบริเวณที่ดินให้จำเลยทั้งสองก่อสร้างผิดพลาดโดยที่ดินส่วนหนึ่งทางด้านทิศใต้เป็นที่ดินของเอกชนประมาณ ๑ ไร่เศษ โจทก์จึงแจ้งให้หยุดการก่อสร้างไว้ก่อน จำเลยทั้งสองยินยอมหยุดงาน ต่อมาโจทก์ได้แก้ไขรูปแบบแผนผังรูปที่ดินของโจทก์และได้จัดซื้อที่ดินของเอกชนนั้นแล้ว โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองลงมือทำการก่อสร้างต่อไป จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันทำการก่อสร้างอาคารกองบัญชาการศึกษาให้แก่โจทก์ตามสัญญาจ้างเหมาระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ๕๐๖ วัน นับแต่วันศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ยอมร่วมกันสร้างต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย ค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าปรับแก่โจทก์เป็นรายวันด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยได้ฟ้องโจทก์ฐานผิดสัญญาอันเกิดจากสัญญาฉบับเดียวกันกับที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย จำเลยไม่เป็นผู้ผิดสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างตรงข้ามโจทก์ก็กลับเป็นฝ่ายผิดสัญญาสั่งระงับไม่ให้จำเลยเข้าทำงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อนหรือเป็นการฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๓๖๕/๒๕๒๒ ของศาลแพ่ง จำเลยที่ ๑ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยในข้อหาว่าโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๐ ที่โจทก์จ้างจำเลยที่ ๑ ก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการศึกษาของโจทก์ และโจทก์ได้สั่งให้จำเลยที่ ๑ ระงับการก่อสร้างเนื่องจากโจทก์ได้ทำการออกแบบแปลนตัวอาคารที่ก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของเอกชนโดยความผิดพลาดของโจทก์เองและเรียกร้องให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ ในคดีดังกล่าวข้างต้นจึงมีประเด็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่และจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ เท่าใด ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ ยังไม่มีสิทธิบอกกล่าวเลิกสัญญากับโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นจำเลยในคดีนี้ในข้อหาว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาก่อสร้างฉบับเดียวกันดังกล่าวข้างต้นโดยอ้างเหตุเช่นเดียวกับคดีก่อนว่า โจทก์ได้ออกแบบแปลนตัวอาคารผิดพลาดโดยเหตุที่ที่ดินบางส่วนทางด้านทิศใต้ของบริเวณที่ดินที่ก่อสร้างเป็นของเอกชน ต่อมาโจทก์ได้จัดซื้อที่ดินของเอกชนดังกล่าว จึงขอให้จำเลยทั้งสองทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการของกองบัญชาการศึกษาต่อไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ก่อสร้างและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้จึงเห็นได้ว่ามูลคดีทั้งสองคดีนี้มีว่าคู่ความฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการศึกษาของโจทก์โดยอาศัยเหตุอยางเดียวกันเรื่องก่อสร้างอาคารที่ทำการของกองบัญชาการศึกษารุกล้ำที่ดินของเอกชนเป็นข้อสำคัญของคดี จึงเป็นคดีที่มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๔ กรณีมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามมาตรา ๑๔๘ ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ คดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้ศาลชั้นต้นจะรอคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลของคดีก่อนจนถึงที่สุดก็ตาม
ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการประเภทไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๑ และเมื่อโจทก์ต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้ว จึงมีผลถึงจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share