แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ตายทั้งสองมีเรื่องไม่พอใจน้องชายจำเลยแต่กลับไปหาเรื่องกับจำเลยและชี้หน้าด่าแม่จำเลยการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองด้วยสาเหตุเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 การที่ผู้ตายทั้งสองไปหาเรื่องกับจำเลยและชี้หน้าด่าแม่จำเลยถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .38 หมายเลขทะเบียนกท.744358 จำนวน 1 กระบอก ซึ่งเป็นของนายล้อม อินทร์ทองผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย และกระสุนปืนขนาด .38จำนวน 6 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นอกจากนี้จำเลยได้พาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนญาตโดยเปิดเผยและไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และโดยเจตนาฆ่าได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายกระจายพินิจ กับนายวิรัตน์ ใจแผ้ว จนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 288, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษฐานมีอาวุธปืนให้จำคุก 1 ปีฐานพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปี และฐานฆ่าผู้อื่นให้ประหารชีวิต ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรทุกโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษฐานมีอาวุธปืนจำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 8 เดือน และฐานฆ่าผู้อื่นจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(1) เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดอื่นมารวมได้ริบอาวุธปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 68 และ 69 ลงโทษจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว รวมเป็นโทษจำคุก6 ปี กับ 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยมีอาวุธปืนพกขนาด .38 หมายเลขทะเบียนกท.744358 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 6 นัดของนายล้อม อินทร์ทอง ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายกระจาย พินิจ และนายวิรัตน์ ใจแผ้ว ถึงแก่ความตายมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นายวิโชค ใจแผ้วน้องนายวิรัตน์ผู้ตายนายประสพโชค ชนะคุ้ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 และนายทวน แปะหลง พยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุนายวิรัตน์มีเรื่องทะเลาะกับนายวิชัยหรือเจ้งน้องจำเลยถึงขนาดนายวิรัตน์พูดว่าจะฆ่านายวิชัยให้นายทวนฟัง แต่นายทวนกับนายประสพโชคได้ห้ามไว้ ครั้นนายวิชัยกลับไปแล้ว นายวิรัตน์กับนายกระจายเดินไปที่โต๊ะที่จำเลยนั่ง นายทวนได้ยินนายวิรัตน์พูดว่าไม่ได้น้องก็เอาพี่ ส่วนนายวิเชียร พรหมสุวรรณ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ได้ยินนายกระจายพูดขู่จำเลยว่าใครใหญ่พร้อมกับชี้หน้าด่าแม่จำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่า คำเบิกความของนายทวนและนายวิเชียรเพิ่งจะกล่าวอ้างยืนยันในชั้นศาลเพื่อช่วยเหลือจำเลยนั้นนายวิเชียรเบิกความว่า นายวิเชียรเป็นญาติกับนายวิรัตน์ผู้ตายโดยมีศักดิ์เป็นพี่ ส่วนนายทวนก็เบิกความว่า บิดาผู้ตายทั้งสองมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายทวน จึงฟังไม่ได้ว่านายทวนและนายวิเชียรเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยตามที่โจทก์ฎีกา แต่ที่นายทวนเบิกความว่านายวิรัตน์ตั้งท่าจะชักอาวุธปืนออกมาและนายวิเชียรเบิกความว่านายกระจายชัดอาวุธปืนจะยิงจำเลยนั้น นายวิเชียรกลับเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า ผู้ตายทั้งสองจะมีอาวุธปืนจริงหรือไม่ ไม่ทราบนอกจากนี้พยานโจทก์ปากอื่นก็ไม่มีผู้ใดเห็นผู้ตายทั้งสองมีอาวุธปืนแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ตายทั้งสองมีอาวุธปืนที่จะใช้ยิงจำเลยและคงฟังได้แต่เพียงว่าผู้ตายทั้งสองมีเรื่องไม่พอใจน้องชายจำเลย แต่กลับไปหาเรื่องกับจำเลยและชี้หน้าด่าแม่จำเลย เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองด้วยสาเหตุเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68แต่ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ตายทั้งสองไปหาเรื่องกับจำเลยและชี้หน้าด่าแม่จำเลยนั้น ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 และเห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดมานั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3