แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดเป็นต้นผลอาสิน (ต้นทุเรียน เงาะ ขนุน ชมพู่) ในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติเรียกว่า สทก.1 ซึ่ง น. เป็นผู้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิครอบครองทำกินชั่วคราวมีเงื่อนไขว่า จะแบ่งแยกหรือโอนสิทธิหรือให้เช่าช่วงทำกินไปยังบุคคลอื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม ฉะนั้น น. จึงเป็นผู้มีสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าวแต่ผู้เดียว แม้ น. ได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายทรัพย์ที่โจทก์นำยึดให้ผู้ร้อง ก็ไม่มีผลบังคับ เพราะการขายทรัพย์ดังกล่าวเป็นการขายในสภาพติดกับที่ดิน ซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครองทรัพย์ที่นำยึด จึงถือได้ว่าเป็นการโอนสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินดังกล่าวอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และเงื่อนไขดังกล่าว ทรัพย์ดังกล่าวจึงหาตกเป็นของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขัดทรัพย์.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน ๘๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดต้นทุเรียนประมาณ ๕๔ ต้น ต้นเงาะประมาณ ๑๕ ต้นต้นขนุนประมาณ ๒๐ ต้น ต้นมะม่วงประมาณ ๑๐ ต้น ต้นชมพู่ประมาณ๒๐ ต้น และบ้านชั้นเดียว ๑ หลัง อยู่ในที่ดิน สทก.๑ รหัสป่า ส.ต.๑๐ฉบับที่ ๑๙๕ เลขที่ ๑๓๕ หมู่ที่ ๕ ตำบลควนขัน อำเภอเมืองสตูลจังหวัดสตูล โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดดังกล่าวไม่ใช่ของจำเลยแต่เป็นทรัพย์สินของผู้ร้องซึ่งได้ซื้อมาจากนางหนูเผียนเชาเหม โจทก์ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ดังกล่าว ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย จำเลยได้นำทรัพย์สินที่โจทก์ยึดนั้นมาเป็นประกันการกู้ยืมเงินกับโจทก์นางหนูเผียน เชาเหมเป็นภรรยาจำเลย สัญญาซื้อขายที่ผู้ร้องอ้างเป็นการสมคบกันทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดี เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมี ปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ ที่ผู้ร้องฎีกาว่านางหนูเทียนเชาเหม ภรรยาจำเลยได้สละการครอบครองในทรัพย์ดังกล่าวให้ผู้ร้องแล้ว ทรัพย์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ของจำเลยนั้น ได้ความว่าทรัพย์ดังกล่าวได้ปลูกอยู่ในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ครั้งที่ ๑)เรียกว่า สทก.๑ รหัสป่า ส.ค.๑๐ ฉบับที่ ๑๙๕ แผ่นที่ ๕๘ เลขที่ดิน๕๐๒๒-๓ อำเภอเมืองสตูล มีเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่ ซึ่งนางหนูเผียนเชาเหมเป็นผู้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิครอบครองทำกินชั่วคราวตามเงื่อนไขซึ่งบังคับไว้ว่า ผู้ได้รับสิทธิจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิหรือให้เช่าช่วงทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ได้รับสทก.๑ ไปยังบุคคลอื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม ซึ่งกรมป่าไม้จัดให้ทายาทโดยธรรมอาศัยอยู่กับผู้ตาย เพราะฉะนั้น นางหนูเผียนจึงเป็นผู้มีสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าวแต่ผู้เดียว แม้นางหนูเผียนได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายทรัพย์สินตามบัญชียึดทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดให้ผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.๒ ก็ไม่มีผลบังคับ เพราะการขายทรัพย์ดังกล่าวเป็นการขายในสภาพทรัพย์ติดกับที่ดิน ซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครองทรัพย์ตามบัญชียึดทรัพย์จึงถือได้ว่าเป็นการโอนสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินดังกล่าว อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๐๗ และเงื่อนไขดังกล่าว
พิพากษายืน.