แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ภริยาให้กู้เงินที่เป็นสินส่วนตัว และฟ้องเรียกเงินนั้นคืนได้โดยลำพัง
แม้ภริยาให้กู้เงินที่เป็นสินสมรส และฟ้องคดีโดยสามีไม่ได้ยินยอมด้วย แต่ปรากฏชั้นฎีกาว่าสามีตายแล้วไม่มีทางให้สามีเข้าจัดการร่วมด้วย ภริยาจัดการสินสมรสได้โดยลำพังและมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้ 56,562.50 บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามี ไม่มีอำนาจฟ้องคดีโดยลำพังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476, 1477 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ให้กู้ตามสัญญากู้แต่ผู้เดียว และถึงแม้โจทก์จะเบิกความว่าเงินที่ให้จำเลยกู้เป็นเงินรายได้ของโจทก์กับของสามีก็ตาม แต่ในตอนท้ายโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่าเงินที่ให้จำเลยกู้นั้นเป็นเงินส่วนตัวของโจทก์ทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับสามีของโจทก์เลยอันหมายถึงว่าเงินที่โจทก์ให้จำเลยกู้นั้นเป็นเงินสินส่วนตัวของโจทก์ ไม่ใช่สินสมรสนั่นเอง ฝ่ายจำเลยมิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ฉะนั้นในทางวิธีพิจารณาย่อมจะต้องฟังว่าเงินที่โจทก์ให้จำเลยกู้นั้นเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ซึ่งโจทก์ย่อมมีอำนาจเป็นผู้จัดการได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 อย่างไรก็ดี แม้จะฟังว่าเงินที่โจทก์ให้จำเลยกู้ไปนั้นเป็นสินสมรส ก็หาใช่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจเป็น ผู้จัดการสินสมรสเสียเลยไม่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 เพียงแต่บัญญัติว่า สามีและภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกันเท่านั้น และบัดนี้ ปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าสามีโจทก์ได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2521 ตามหลักฐานมรณบัตรที่โจทก์ยื่นพร้อมกับฎีกา ซึ่งจำเลยกล่าวแก้ฎีกายอมรับว่าเป็นจริงตามนั้น กรณีจึงไม่มีทางที่จะให้สามีโจทก์ซึ่งตายไปแล้วเข้าเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกันตามมาตรา 1476 ได้ต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจจัดการได้โดยลำพังและมีอำนาจฟ้องฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งในคำพิพากษาใหม่”