แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยเพิ่งจะอ้างส่งบันทึกคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาและใบเสนอราคาเป็นเอกสารท้ายฎีกา โจทก์ไม่มีโอกาสหักล้างข้อเท็จจริงหรือโต้แย้งเอกสารดังกล่าวได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ทั้งจำเลยรู้ถึงความมีอยู่ของเอกสารดังกล่าวตั้งแต่แรกที่โจทก์ฟ้องคดี การที่จำเลยยื่นเอกสารดังกล่าวในชั้นฎีกาเป็นการนำเอกสารเข้าสู่สำนวนคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 กรกฎาคม 2541) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้รับจ้างในแบบสัญญาจ้างซึ่งเป็นการรับจ้างก่อสร้างถนนจากบ้านหินโงม หมู่ที่ 3 ถึงบ้านศรีชมชื่น หมู่ที่ 6 กับองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหินโงม โดยมีโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างถนนสายดังกล่าวจนแล้วเสร็จและได้ส่งมอบงานก่อนสร้างแก่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหินโงมแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์สร้างถนนจากบ้านหินโงม หมู่ที่ 3 ถึงบ้านศรีชมชื่น หมู่ที่ 5 และต้องชำระค่าจ้างแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2540 จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างถนนจากบ้านหินโงมถึงบ้านศรีชมชื่นยาวประมาณ 4,500 เมตร กว้าง 6 เมตร สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 350,000 บาท โจทก์เป็นผู้หาอุปกรณ์และคนงานเอง กำหนดจ่ายค่าจ้างเมื่องานแล้วเสร็จและจำเลยเบิกเงินได้แล้ว โจทก์ลงมือทำงานเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2540 และก่อสร้างเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2540 โจทก์ส่งมอบงานให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับค่าจ้างจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหินโงมแล้วแต่ไม่ชำระค่าจ้างแก่โจทก์และโจทก์มีนายสุทธิชัยหัวหน้าส่วนโยธาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหินโงมเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างถนน จำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างถนนยาวประมาณ 4,400 เมตร กว้าง 6 เมตร สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ค่าจ้างประมาณ 450,000 บาท มีการขึ้นป้ายประกาศไว้ตามภาพถ่าย ระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 ถึงเดือนตุลาคม 2540 จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างช่วง โจทก์เริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2540 และสร้างเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2540 โดยมีการส่งมอบงานในเดือนดังกล่าว พยานตรวจสอบแล้วพบว่าถูกต้องตามแบบและจำเลยได้รับเงินค่าจ้างไปแล้ว กับมีนายบุญทันซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหินโงมเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างถนนสายบ้านหินโงม – บ้านศรีชมชื่น ซึ่งมีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร ค่าจ้างประมาณ 450,000 บาท เริ่มสัญญาในเดือนกันยายน 2540 และสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2540 มีโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2540 และถนนแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2540 จำเลยได้รับเงินค่าจ้างไปแล้ว นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายอุทิศ นายหนูคล้ายและนายถวิลเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างถนน ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า นายคำผางขอให้จำเลยทำสัญญาจ้างก่อสร้างถนนแทนและให้จำเลยช่วยดูแลการก่อสร้าง โดยให้ค่าจ้างจำเลย 3,000 บาท นายคำผางให้โจทก์ก่อสร้างถนนสายดังกล่าว ระหว่างก่อสร้างนายคำผางถึงแก่ความตาย โจทก์จึงส่งมอบงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง นางทองจันทร์ภริยานายคำผางเป็นผู้รับเงินค่าจ้างและได้เสียภาษีเงินได้จากเงินค่าจ้างในนามนายคำผาง จำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างถนน และจำเลยมีนายชวนชัยและนายประยูรเป็นพยานเบิกความว่า นายคำผางเป็นผู้รับงานก่อสร้างถนนและได้ว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างถนนแทน จำเลยเป็นลูกจ้างของนายคำผางเช่นเดียวกับพยาน เห็นว่า นายบุญทันพยานโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในแบบสัญญาจ้างในฐานะผู้ว่าจ้าง ส่วนนายสุทธิชัยเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างถนน ย่อมรู้เห็นเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งข้อเท็จจริงที่พยานทั้งสองเบิกความก็เป็นข้อเท็จจริงที่พยานทั้งสองปฏิบัติไปตามหน้าที่ โดยไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองมีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานจะเบิกความเพื่อช่วยเหลือโจทก์และให้ร้ายจำเลยโดยปราศจากมูลความจริง คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของจำเลยคงมีแต่คำเบิกความของตัวจำเลยซึ่งไม่สมเหตุผล เพราะจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างโดยไม่ได้ระบุว่าได้กระทำการแทนนายคำผาง และจำเลยไม่ได้ถามค้านนายบุญทันเพื่อให้นายบุญทันรับรองข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาจ้างแทนนายคำผางจริงหรือไม่ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแทนนายคำผางจึงเลื่อนลอย ไม่น่าเชื่อถือ แม้นายชวนชัยและนายประยูรพยานจำเลยจะเบิกความว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของนายคำผาง แต่เมื่อทนายโจทก์ให้นายชวนชัยดูแบบสัญญาจ้างนายชวนชัยก็เบิกความรับว่า จำเลยเป็นผู้รับจ้าง และนายชวนชัยไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วจำเลยหรือโจทก์เป็นผู้รับเหมาทำงานก่อสร้างถนนสายบ้านหินโงม – บ้านศรีชมชื่น ส่วนนายประยูรก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่า นายประยูรไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วใครเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างถนนสายบ้านหินโงม – บ้านศรีชมชื่น คำเบิกความของนายชวนชัยและนายประยูรหาได้สนับสนุนให้คำเบิกความของจำเลยมีน้ำหนักรับฟังเพิ่มขึ้นไม่ พยานหลักฐานของโจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร และภาพถ่ายสถานที่ก่อสร้างประกอบกันอย่างสมเหตุผล จึงมีน้ำหนักรับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างถนนสายพิพาทและยังมิได้ชำระค่าจ้างแก่โจทก์ดังที่ฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ตามบันทึกคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาและใบเสนอราคาเอกสารท้ายฎีกามีชื่อนายคำผางเป็นผู้เสนอราคาก่อสร้างในอันดับ 1 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่านายคำผางเป็นผู้รับจ้างนั้น เห็นว่า การที่จำเลยเพิ่งจะอ้างส่งบันทึกคณะกรรมการเปิดซองสอบราคา ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2540 และใบเสนอราคาลงวันที่ 26 สิงหาคม 2540 เป็นเอกสารท้ายฎีกาเป็นการนำเอกสารเข้าสู่สำนวนคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีโอกาสหักล้างข้อเท็จจริงหรือโต้แย้งเอกสารดังกล่าวได้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ทั้งจำเลยรู้ถึงความมีอยู่ของเอกสารดังกล่าวตั้งแต่แรกที่โจทก์ฟ้องคดี การที่จำเลยยื่นเอกสารดังกล่าวในชั้นฎีกาโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่อาจทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปได้จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ