คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19772/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสมรสสิ้นสุดด้วยความตาย การหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน เมื่อโจทก์กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสกันวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2517 และจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 ดังนี้ ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2517 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 การสมรสของโจทก์กับผู้ตายยังมีอยู่ เมื่อคู่ความรับว่าทรัพย์สินตามฟ้องผู้ตายได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ ย่อมเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตาย และในทะเบียนหย่าก็ไม่มีบันทึกเป็นหลักฐานลงลายมือชื่อโจทก์ระบุข้อความว่าโจทก์สละสินสมรสที่ตนมีสิทธิได้ ทั้งกรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์กับผู้ตายจดทะเบียนหย่ากัน ต้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวในวันจดทะเบียนหย่าให้โจทก์และผู้ตายคนละครึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 23193, 23196 และ น.ส. 3 ก. เลขที่ 14051 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และแบ่งเงินในบัญชีเงินฝากของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสัตหีบ บัญชีเลขที่ 302 – 2 – 44489 – 1 ให้แก่โจทก์ และให้นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค – 8620 ชลบุรี อาวุธปืนชนิดรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ขายได้มาแบ่งในส่วนเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ยอมแบ่งทรัพย์สินขอให้นำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดและนำเงินมาแบ่งกัน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาวาเอกจำรักษ์ผู้ตายแบ่งที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 23193, 23196 และ น.ส. 3 ก.เลขที่ 14051 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รถยนต์หมายเลขทะเบียน กค – 8620 ชลบุรี และอาวุธปืนชนิดรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาปันกันคนละครึ่ง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่คู่ความรับและไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า โจทก์กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2517 จดทะเบียนหย่าขาดกันเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกตามฎีกาข้อ 3.1 มีว่า ทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ เห็นว่า ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2517 ถึง 1 กุมภาพันธ์ 2545 การสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายยังคงมีอยู่เพราะการสมรสจะสิ้นสุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 ซึ่งบัญญัติว่า การสมรสย่อมสิ้นสุดด้วยความตาย การหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน เท่านั้น และตามมาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน… (1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส… ตามทางนำสืบของคู่ความก็รับกันว่าทรัพย์สินผู้ตายได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตาย ทั้งตามมาตรา 1474 วรรคท้ายก็ยังบัญญัติว่า ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า ทรัพย์สินเป็นสินสมรสนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ในชั้นฎีกา 6,000 บาท

Share