คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5714/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีอื่นนั้น มิใช่การอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่างซึ่งลูกหนี้มีสิทธิที่จะเลือกกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 198 แต่เป็นกรณีที่คำพิพากษาได้กำหนดขั้นตอนการชำระหนี้ไว้เป็นลำดับแล้ว กล่าวคือ โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนจำเลยก่อนเป็นลำดับแรก หากคืนไม่ได้จึงให้ใช้ราคาแทน ดังนั้น เมื่อรถที่เช่าซื้อยังอยู่ในสภาพที่ส่งมอบคืนได้ โจทก์จะเลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการชำระราคาแทนโดยไม่ส่งมอบรถคืนจำเลยไม่ได้ ที่โจทก์นำเงินราคาใช้แทนกับหนี้อย่างอื่นตามคำพิพากษารวม 274,468.09 บาท ไปวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลย ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมรับเงินราคาใช้แทนดังกล่าวไปจากศาล หรือมีพฤติการณ์อื่นที่แสดงว่าจำเลยสละสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในลำดับแรก โจทก์จึงไม่หลุดพ้นจากหนี้ที่จะต้องส่งมอบรถคืน การที่โจทก์นำเงิน 274,468.09 บาท ไปวางศาลจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้เสร็จสิ้นครบถ้วนตามคำพิพากษา
เมื่อโจทก์ยังมีหนี้ที่ต้องส่งมอบรถคืนแก่จำเลยและไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะครอบครองใช้รถของจำเลยได้โดยชอบอีกต่อไป แม้จำเลยผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จะติดตามเอารถคืนโดยไม่ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้รถหรือเสียโอกาสที่จะได้กรรมสิทธิ์ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นละเมิด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดและพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน และให้คืนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บน 7106 กระบี่ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้เงิน 750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 สิงหาคม 2559) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์เป็นผู้บริโภคได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม จึงไม่กำหนดค่าธรรมเนียมให้ แต่กำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน แต่ให้จำเลยนำค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่โจทก์ได้รับยกเว้นทั้งหมดชำระต่อศาลชั้นต้นในนามโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกาโดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2555 โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บน 7106 กระบี่ กับจำเลย โจทก์ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยจึงฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.1233/2559 ให้โจทก์ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่จำเลย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 240,000 บาท ให้โจทก์ชำระค่าขาดประโยชน์แก่จำเลย 12,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง กับค่าขาดประโยชน์นับถัดจากวันฟ้องอีกเดือนละ 1,800 บาท จนกว่าจะส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคา แต่ไม่เกิน 6 เดือน และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย แต่โจทก์มิได้ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ขณะโจทก์จอดรถที่เช่าซื้อไว้ที่สวนสาธารณะบริเวณท่าเทียบเรือ ตัวแทนที่จำเลยมอบหมายได้ติดตามยึดเอารถคืนไปโดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ หลังจากนั้นจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ให้สิทธิซื้อรถคืนได้ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ในราคาเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างรวมค่าปรับและค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถ โจทก์มิได้ใช้สิทธิซื้อคืน แต่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2559 โจทก์นำเงิน 274,468.09 บาท ไปวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 4 สิงหาคม 2559 จำเลยให้บริษัทผู้รับประมูลประมูลขายรถคันดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นไปในราคา 408,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.1233/2559 ของศาลชั้นต้น นั้น มิใช่การอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่างซึ่งลูกหนี้มีสิทธิที่จะเลือกกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 แต่เป็นกรณีที่คำพิพากษาได้กำหนดขั้นตอนการชำระหนี้ไว้เป็นลำดับแล้ว กล่าวคือ โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนจำเลยก่อนเป็นลำดับแรก หากคืนไม่ได้จึงให้ใช้ราคาแทน ดังนั้น เมื่อรถที่เช่าซื้อยังอยู่ในสภาพที่ส่งมอบคืนได้ โจทก์จะเลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการชำระราคาแทนโดยไม่ส่งมอบรถคืนจำเลยไม่ได้ ที่โจทก์นำเงินราคาใช้แทนกับหนี้อย่างอื่นตามคำพิพากษารวม 274,468.09 บาท ไปวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลย ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมรับเงินราคาใช้แทนดังกล่าวไปจากศาล หรือมีพฤติการณ์อื่นที่แสดงว่าจำเลยสละสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในลำดับแรก โจทก์จึงไม่หลุดพ้นจากหนี้ที่จะต้องส่งมอบรถคืน การที่โจทก์นำเงิน 274,468.09 บาท ไปวางศาลจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้เสร็จสิ้นครบถ้วนตามคำพิพากษาเป็นผลให้จำเลยต้องคืนรถให้โจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ส่วนการที่จำเลยให้โอกาสโจทก์ซื้อรถคืนในราคาเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างรวมค่าปรับและค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถคืน ซึ่งโจทก์นำสืบว่าจำเลยเรียกร้องเป็นเงินมากถึง 340,000 บาทเศษ สูงเกินกว่าหนี้ตามคำพิพากษานั้น ก็มิได้ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะนำเงิน 274,468.09 บาท ดังกล่าวไปวางศาลและถือว่าเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นครบถ้วนแล้วตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้เช่นกัน ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังมีหนี้ที่ต้องส่งมอบรถคืนแก่จำเลยและไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะครอบครองใช้รถของจำเลยได้โดยชอบอีกต่อไป แม้จำเลยผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จะติดตามเอารถคืนโดยไม่ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้รถหรือเสียโอกาสที่จะได้กรรมสิทธิ์ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นละเมิด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดและพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share